 
     
                            1 September 2018
5943
มันกับมุมมอง “บารมี ชัยรัตน์” ผมไม่ใช่ NGOs!!
ในแวดวงคนทำงานพัฒนาแบบสายก้าวหน้า นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ “บารมี ชัยรัตน์” ยิ่งในโลกโซเชียลแล้ว ยิ่งรู้กิตติศัพท์การวิพากษ์วิจารณ์ เหน็บแนม กัด กระเทาะได้คม ลึก และขันขื่น อย่างร้ายกาจ จากสำบัดสำนวน ชายที่ชื่อ “บารมี ชัยรัตน์”  ตำแหน่งปัจจุบันคือ ผู้ประสานงานสมัชชาคนจน ผู้คร่ำหวอดบนเส้นทางงานเคลื่อนไหวกับขบวนสมัชชาคนจนมายาวนานกว่า 20 ปี 
หลายๆ คนที่ไม่ได้คลุกคลีกับวงการที่เอ่ยมาอาจจะไม่รู้จัก ว่าใครคือ บารมี ชัยรัตน์  ชายร่างท้วมมาดกวน อารมณ์ดี ซึ่งที่น่าสนใจคือ เขาคิดอะไรและคิดอย่างไรกับขบวนการเคลื่อนไหว กับชีวิตของคนทำงานเพื่อสังคม วันนี้ ทีมงานไทยเอ็นจีโอได้บุกประชิดตัว รัวคำถาม สดๆ แบบระยะเผาขนและตรงประเด็น 
ไทยเอ็นจีโอ : ถามจริงๆ เหอะ อะไรทำให้หันมาทำงานพัฒนา ทำแล้วมีทบทวน หรือไขว้เขวไหม เห็นโพสต์ เห็นพูดอะไรในเฟสแบบว่า เดี๋ยวหยิกเดี๋ยวหยอกเดี๋ยวย้อนแย้งเหน็บแนมทุกวัน กวน Teen นะเรา
บารมี ชัยรัตน์ : เฮ้ย...! ไอ้ห่า ผมไม่ได้ทำงานพัฒนา ผมไม่อยากเรียกงานที่ทำว่าเป็นงานพัฒนา ไม่อยากเป็นนักพัฒนา ไม่ชอบคำว่าเอ็นจีโอ ผมอยากเป็นนักกิจกรรม ผมชอบคำนี้มากกว่า มันดูเหมือนเป็นงานอาสาสมัคร ไม่ใช่เป็นอาชีพ คำว่าเอ็นจีโอมันเหมือนเป็นอาชีพ ยิ่งภายหลังมีคำว่าเอ็นจีโอต้องเป็นมืออาชีพผมยิ่งไม่ชอบคำนี้ อยากจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักเคลื่อนไหว เป็นนักปฎิวัติ แต่เราไปไม่ได้ถึงขนาดนั้น ยังติดที่จะเสพสุขยังไม่สามารถทุ่มเทให้กับการปฎิวัติได้อย่างเต็มที่ เป็นแค่นักกิจกรรมก็พอแล้ว
แต่ตอนนี้ ผมไม่ต้องหันมาเป็นนักกิจกรรม เพราะความเป็นนักกิจกรรมมันอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นความอยุติธรรม (จริงๆ ผมตอแหล เพราะความอยุติธรรมมันก็มีมาให้เห็นตลอดแหละ เพียงแต่จังหวะไหนที่มันจะสะเทือนใจเราเท่านั้นเอง บางข่าวบางเรื่องนอกจากเราไม่สะเทือนใจแล้วบางทีเรายังสมน้ำหน้าอีกด้วย กลายเป็นไปซ้ำเติมเขาอีก) ผมเข้ามาทำกิจกรรมในชมรมค่ายอาสาพัฒนาราม-อีสาน ม.รามคำแหง เพราะข่าวเด็กกินดินมันสะเทือนใจ นึกว่าเข้ามาแล้วเราจะทำอะไรได้ ที่ไหนได้เข้ามาแล้วยังฟังเขาพูดกันไม่รู้เรื่องเลย ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะฟังรู้เรื่อง พอทำกิจกรรมไปแล้วมันก็ติดลมอ่ะ ไปลงพื้นที่ ไปออกค่าย ร้องเพลง ดูหนัง อ่านหนังสือ พูดคุยแลกเปลี่ยน กิจกรรมต่างๆ นี้มันซึมลึกเข้าไปในระบบคิดของเราแบบว่า กว่าจะรู้ตัวก็เปลี่ยนไม่ทันแล้ว ดังนั้นเมื่อออกจากรามมาจึงไม่ต้องหันไปทางไหน เพราะมันไปทางไหนไม่เป็นแล้ว เป็นนักกิจกรรมนี่แหละ มาถูกทางละ
ไทยเอ็นจีโอ :  ทำไมทำมา เหมือนๆ กับขบวนการงานเคลื่อนไหว หรือเอ็นจีโอ หรืออะไรก็แล้วแต่ เหมือนๆจะซบเซา ซาลง มันมีการทบทวน หรือเป็นเพราะไขว้เขว หรือเปล่า
บารมี ชัยรัตน์  :  มันต้องถามให้ชัดว่าทบทวนอะไร   ทบทวนความคิด  ทบทวนกิจกรรม  ทบทวนเป้าหมาย  หรือทบทวนอะไร  ทบทวนแล้วทิ้งทวน   พอทิ้งทวนแล้วก็เก็บทวนอีก   อะไรแบบนั้นหรือเปล่า  จริงๆ แล้วมันก็ทบทวนทุกเรื่องแหละ   ขอใช้คำเบาๆ หน่อยละกัน เดี๋ยวคนจะมันไส้   เช่น  ทบทวนว่ายังอยากจะทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอยู่ไหม   ทบทวนว่างานที่ทำอยู่มันพอไปได้ไหม   ทบทวนว่าคำตอบอยู่ที่หมู่บ้านจริงไหม   เอาคำพูดคนอื่นมาทบทวนด้วยก็มีเช่น  ทำเรื่องพื้นที่มานานแล้วไม่ประสบความสำเร็จมาผลักเรื่องนโยบายดีกว่า  หรือทำเรื่องนโยบายมานานแล้วไม่ประสบความสำเร็จลงไปทำงานพื้นที่ดีกว่า    บางคนก็ว่าม๊อบแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาสู้ไปสร้างความร่วมมือกับรัฐดีกว่า  บางคนก็ว่าสร้างความร่วมมือกับรัฐมาตลอดไม่ได้อะไรเลยคงต้องออกมาประท้วงบ้าง     บางคนก็ว่าควรจะต้องมีพรรคของประชาชนได้แล้วบางคนก็ว่าอย่าไปยุ่งกับการเมือง   บางคนว่าสิทธิชุมชนคือคำตอบบางคนว่าไม่ใช่   บางทีทบทวนไปแล้วได้หน้าลืมหลังก็มีครับ  แต่ถ้าถามว่าทบทวนแล้วอยากเลิกทำงานแบบนี้ไหม  ตอบได้เลยว่าไม่ครับ   มันเสพติดแล้วเลิกไม่ได้แล้วครับถ้าจะเลิกก็ต้องเพราะสาเหตุอื่นเช่น  ถ้าไม่เลิกเมียจะเลิกแบบนั้นคงต้องเลิก  คือไม่ไขว้เขวไปทางอื่นแล้ว   แต่ถ้าถามว่าแล้วความคิดเปลี่ยนไปบ้างไหม   ตอบได้เลยว่าเปลี่ยน   แต่ก่อนอาจจะคิดว่าคำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน  มองอะไรแบบโรแมนติค  สวยงามอยู่ตลอดเวลา  เป็นพวกโลกสวย   ตอนนี้เปลี่ยนแล้วโลกไม่สวยแล้ว   จริงนะ  แค่คิดว่าเพื่อนคนนึงกลับมาอยู่บ้านทำไร่ทำสวนก็อยู่ได้สบายๆ แล้ว  แต่พอเห็นของจริงแม่งเหนื่อย  ลำบาก  โดนขโมยของ   เจอไฟป่า   จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวเองขึ้นมาขายทำไวน์ ทำแยม  มันก็หาที่ขายไม่ได้ง่ายๆ ต้นทุนก็สูง  ภาษีก็สูง  กำไรก็น้อย   ผัวอยู่ทางเมียอยู่ทางแล้วมันจะโรแมนติคได้ไง   โลกทุนนิยมมันโหดร้ายกว่าที่คิด   ขนาดเพื่อนที่ชอบอยู่อย่างสันโดษ  ยังต้องโดดออกมาจัดอบรมหาเงินเลย  ใครอยากโรแมนติค  ใครอยากสันโดษ  เอาเงินมาจ่าย  ฮ่าๆๆๆ

ไทยเอ็นจีโอ : ได้แนวคิดอะไร หรือของใคร มาเป็นแรงบันดาลใจ หรือมาปรับใช้บ้าง และ ระหว่างการดำเนินชีวิต กับการทำงานพัฒนา ต่อสู้เคียงข้างพี่น้องชาวบ้าน มีบทเรียนอะไร ที่น่าสนใจ ต่อสังคม ต่อตัวเองบ้าง ไหม
บารมี ชัยรัตน์ : ได้สิ แนวคิดเยอะแยะมากมาย ยูโทเปีย พระศรีอารย์ นี่เป็นแรงบันดาลใจเลย พระโพธิสัตว์ก็เป็นแรงบันดาลใจนะ อย่าว่าแต่มาร์กซ์ เหมา ลุงโฮ หรือคนอื่นๆ ผมมีครูบาอาจารย์มากมาย แต่ผมมันศิษย์นอกครูๆเลยไม่ค่อยรัก บทเรียนที่สำคัญมีมากมาย มีตลอดเวลาแหละขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้ความสำคัญกับมันขนาดไหน
บทเรียนที่ผมนำมาใช้ตลอดคือ
๑. เราต้องไม่ใช้กฎหมายเป็นตัวตั้งในการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าใช้กฎหมายเป็นตัวตั้งในการแก้ไขปัญหาแล้วมันจะไม่จบ หรือถ้าเป็นการเขียนกฎหมายใหม่ขึ้นมามันอาจจะจบที่ปัญหาของเราแต่กลายเป็นทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราต้องสร้างแนวทาง วิธีการในการแก้ไขปัญหาขึ้นมาใหม่ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เรามีและเข้าถึงได้ เช่น เราไม่เอาวิธีการแก้ไขปัญหาแบบการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ เราไม่สนใจเรื่องการพิสูจน์สิทธิ เราก็ต้องหาทางออกจากวังวนนั้น
๒.ในการเรียกร้องไม่ว่าเรื่องใดก็ตามต้องมีเหตุผล ได้ประโยชน์ และรู้ประมาณ จะไปนั่งมโนเอาส่งเดชไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นวิชาการจ๋าถึงขนาดต้องทำวิจัยเพื่อสร้างข้อเสนออะไรขนาดนั้น ข้อเสนอที่มีเหตุผลไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นข้อเสนอที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่อาจจะเป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับความเป็นจริงสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน ข้อเสนอนั้นเราต้องได้ประโยชน์ ไม่ใช่เสนอไปแล้วเราต้องเสียผลประโยชน์ เช่น ก่อนยื่นข้อเสนอเรายังทำกินได้ แต่พอยื่นข้อเสนอไปแล้ว กลายเป็นว่าถ้าเราจะเข้าไปทำกินจะต้องขออนุญาต แบบนี้ไม่ได้ประโยชน์แล้ว ข้อเสนอก็ต้องรู้ประมาณด้วย ไม่เรียกร้องอะไรที่มันเกินเลยไป เช่น ได้ใช้บัตรทองแล้วยังเรียกร้องจะนอนห้องพิเศษ กินอาหารพิเศษ แบบนี้ก็เรียกว่าไม่รู้ประมาณ
๓.เราต้องเชื่อมั่นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัญหาทางชนชั้น มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม ไม่ใช่เกิดจากบุญทำกรรมแต่ง ไม่ได้เกิดจากเราไม่รู้จักพอเพียง แต่เราเป็นผู้ถูกกระทำ เมื่อเราเป็นผู้ถูกกระทำเราต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ ไม่มีทางที่เรามาแบมือร้องขอแล้วเราจะได้อะไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรอก
๔.เราต้องเชื่อมั่นว่าปัญหานั้นต้องแก้ได้ด้วยการลุกขึ้นมาต่อสู้ ลุกขึ้นมาเดินขบวน ลุกขึ้นมายึดที่ดิน ลุกขึ้นมายึดเขื่อน มันอยู่ที่พละกำลัง ความเข้มแข็ง ความเป็นเอกภาพของเราต่างหากที่เราจะยันอีกฝ่ายหนึ่งไว้ได้ อย่าลืมว่าเราอยู่ฝ่ายตั้งรับไม่ใช่ฝ่ายรุก งานข้อมูล งานวิจัย งานสื่อ หรืออื่นๆ เป็นเครื่องมือในการสนับสนุน อย่าคิดว่าเราชนะเพราะข้อมูล เพราะสื่อ ถ้าชนะเพราะข้อมูล เพราะสื่อ เขายกเลิกเขื่อนแก่งเสือเต้นไปนานแล้ว เขาทุบเขื่อนปากมูลทิ้งไปนานแล้ว
3.ปัญหา ชาวบ้าน ปัญหาสังคม ที่เราทำๆ เราต่อสู้มานานหลายปี ได้เปลี่ยนแปลง แก้ไข ไปอย่างไรบ้าง ประสบการณ์นี้ สร้างบทเรียนอะไรให้สังคมไทยได้บ้าง
                สิ่งสำคัญที่เราได้คือเราได้ยกระดับการต่อสู้ขึ้นมาเป็นการต่อสู้ที่ชาวบ้านมีที่อยู่ที่ยืนที่เสมอหน้ากับทางราชการได้   ความเห็นของเราได้รับการรับฟังและมีการยอมรับในสังคมมากขึ้น  เราสามารถผลักดันข้อเสนอของเราให้บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ ได้   แต่ที่พูดมาทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องในอดีต   มันถูกทำลายโดย คสช.และสมุนบริวารหมดแล้ว 
                การต่อสู้ของสมัชชาคนจนในตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ เป็นต้นมาเป็นการเปิดพื้นที่ทางสังคมของชนชั้นล่างทำให้เรามีสิทธิมีเสียงมากขึ้น  แต่การมีสิทธิมีเสียงของเรานั้นกลายเป็นการไปแย่งพื้นที่ของชนชั้นกลาง   ไปขัดขวางอภิสิทธิ์ของชนชั้นกลาง  เช่น  เราคัดค้านการสร้างเขื่อนมันทำให้ชนชั้นกลางไม่พอใจ  เพราะเขาต้องการใช้ไฟฟ้า  เขาต้องการใช้น้ำประปา   แต่เรากลับบอกว่ามันเป็นการแย่งชิงทรัพยากรของเรา  เราเรียกร้องให้รัฐจัดสวัสดิการ เพราะมันเป็นการทำให้เราเข้าถึงสิ่งที่ควรจะเป็นสวัสดิการของรัฐได้มากขึ้น  เช่น เรื่องการศึกษา  การสาธารณสุข   แต่มันก็ไปแย่งงบประมาณที่จะไปอุดหนุนชนชั้นกลาง   ไปแย่งที่เรียน  ไปแย่งโรงพยาบาล   ซึ่งเป็นเรื่องที่ชนชั้นกลางรับไม่ได้   และออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลที่สนับสนุนชนชั้นล่าง    เรียกร้องหาเผด็จการเพื่อให้เข้ามาผลักดันให้ชนชั้นล่างกลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม   กลับไปอยู่ในสถานะเดิม  บัตรคนจนคือรูปธรรมคือให้เฉพาะบางคน  ซื้อได้เฉพาะบางจุด  บัตรคนจนไปรูดให้ห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงไม่ได้ครับ  ใช้ได้แค่จุดที่เขากำหนดให้เท่านั้น       ซึ่งหมายความว่าตอนนี้ชนชั้นกลางก็ได้รับชัยชนะแล้ว   ถึงเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้เลือกตั้ง  ตอนนี้เราต้องถอยออกมาเพื่อที่จะตั้งหลักใหม่   ว่าเราจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร  นี่คือบทเรียนที่สำคัญของเรา   
ไทยเอ็นจีโอ : สู้ยังไงก็ไม่ชนะ ถามจริงๆ อยากหยุดพักบ้างไหม ทำไม และ ถ้าอยากหยุด จะไปทำอะไรต่อ ?
บารมี  ชัยรัตน์  :  ภารกิจของนักปฎิวัติไม่มีทางหมดสิ้นหรอกครับ (ขอพูดเอาหล่อซะหน่อย)  ผมถือว่าทำงานไปพักไปนะ  ผมชอบการเดินทาง  ผมชอบที่จะคลุกคลีอยู่กับพี่น้องสมัชชาคนจนมากกว่า   ถ้าหยุดคงเหงา   อาจจะยังไม่ถึงเวลาหยุดก็ได้   คิดว่าเมื่อถึงเวลาคงหยุดเอง   หยุดแล้วจะไปทำอะไรต่อเหรอ  ผมอยากเป็นทนายเผื่อช่วยเหลืออะไรชาวบ้านได้มั่ง  ผมอยากเขียนหนังสือ  เขียนนิยาย  เล่าเรื่องราวที่เจอะเจอมา   ผมอยากขายกัญชาในสวนที่ผมปลูกเองเพราะกัญชาเป็นยาวิเศษ  ผมอยากหมักสาโทกินเอง  ทำไวน์  ต้มเหล้ากินเอง   เพราะไม่อยากสนับสนุน สสส
 
ไทยเอ็นจีโอ : ทิศทางงานเคลื่อนไหว มองทุกกลุ่มเลย ในสังคมไทยมันจะเดินไปยังในอนาคต สภาพตอนนี้ ทั้งแตกแยก ขัดแย้ง ย้อนแย้ง เต็มไปหมด
บารมี ชัยรัตน์ : ก็ในเมื่อมันมีความขัดแย้งมันต้องนำไปสู่คุณภาพใหม่ครับ ในอดีตเราให้ความสำคัญกับเรื่องความจริง ความดี ความงาม ระบอบการปกครองแบบธรรมาธิปไตย มีกษัตริย์ที่ทรงทศพิศราชธรรม มีผู้นำที่เป็นอัศวินม้าขาว แต่คนรุ่นใหม่เขาให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย ความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน การนำรวมหมู่ซึ่งมากกว่าการขอเข้าไปมีส่วนร่วม การนำรวมหมู่คือการนำแบบเสมอหน้ากัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันรับผล ในอดีตศาสนามีผลต่อการใช้ชีวิต แต่คนรุ่นใหม่ไม่ได้สนใจที่จะไปนิพพาน ไปสู่ปรมาตมันหรือไปรอวันพิพากษา ซึ่งผมเชื่อว่าความคิดของคนรุ่นใหม่มันสอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคมที่มันเป็นปัจเจกชน แก่งแย่งแข่งขันกัน ใช้อำนาจที่เหนือกว่าหรือสร้างองค์อำนาจที่เหนือกว่าขึ้นมาเพื่อกดขี่ ขูดรีด ผูกขาด ตัดตอนเพื่อแสวงหากำไรสูงสุดตามแนวทางของเสรีนิยมใหม่ ความโชคดีของคนรุ่นใหม่มีอีกอย่างคือ คนรุ่นเก่าได้หันไปสมาทานอำนาจนิยมเผด็จการ แทนประชาธิปไตย ซึ่งทำให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสได้รู้ว่าการปกครองแบบเผด็จการมันชั่วร้ายเลวทรามขนาดไหน ความจริง ความดี ความงามนี่ใช้กับคนแบบวิษณุ มีชัยไม่ได้หรอก
                 ผมเชื่อว่าถึงที่สุดแล้วคนรุ่นใหม่จะมองออกว่ามันเป็นความขัดแย้งทางชนชั้น  ที่จะสู้แบบปัจเจกชนไม่ได้  ผมเชื่อว่าเขาจะแยกมิตรแยกศัตรูออก   และผนึกกำลังของชนชั้นผู้ถูกกดขี่ลุกขึ้นมาต่อสู้   นี่เป็นทิศทางงานเคลื่อนไหวในอนาคต  อาจจะอีก 20-30 ปี ข้างหน้า  แต่ถ้ามองในระยะ 5-10 ปี  ผมว่าทำอะไรไม่ได้มากหรอก  ต้องรอพวกอัศวินม้าขาว  เสาหลักประชาธิปไตย  ตายหรือหมดสภาพไปเสียก่อน  พูดเล่นครับ 
                จริงๆ คือผมคิดว่าภายใน 5-10 ปีนี้ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นล่างจะปะทุขึ้นอีกครั้ง  และคงจะหนักหนาสาหัสพอที่จะให้ชนชั้นล่างตระหนักในศักยภาพของตัวเอง  ในขณะที่ชนชั้นกลางก็จะได้ตระหนักในความจริงว่าตนเองก็เป็นแค่ชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้นแทบจะไม่มีทางที่จะยกตัวเองขึ้นไปเป็นชนชั้นนายทุนได้หรอก  แล้วชนชั้นกลางจะหันมาเป็นมิตรกับชนชั้นล่าง   จับมือกับชนชั้นล่างเพื่อสู้กับชนชั้นปกครอง ชนชั้นนายทุนต่อไป   พูดกว้างๆแบบนี้แหละ  ลงรายละเอียดมากไม่ดี ไม่อยากพูดมาก  มันเจ็บคอ
                ดังนั้นทิศทางการเคลื่อนไหวแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นคือการกลับมารวมตัวกันต่อสู้ที่เป็นการต่อสู้ทางชนชั้น  มีการนำแบบรวมหมู่  โดยคนรุ่นใหม่...