สำหรับท่านที่โอนเงินตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไปทางทีมงานจะส่งใบเสร็จหลังจากปีใหม่

Please note that for transfers made on or after December 25, 2025, receipts will be issued after the New Year Festival.

Advertisement

Banner 600x250 px

Advertise with us

ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

เครือข่ายภาคประชาชน-พีมูฟ ยื่น กมธ. หนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมป่าไม้-ที่ดิน เรียกร้องคืนสิทธิชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบนโยบายทวงคืนผืนป่า

เครือข่ายภาคประชาชน-พีมูฟ ยื่น กมธ. หนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมป่าไม้-ที่ดิน เรียกร้องคืนสิทธิชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบนโยบายทวงคืนผืนป่า

9 October 2025

548

วันนี้ (9 ตุลาคม 2568) เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนจาก 4 พื้นที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติทับลาน (นครราชสีมา/ปราจีนบุรี), วนอุทยานห้วยคตและแก่นมะกรูด (อุทัยธานี), ตำบลวังทอง อำเภอวังเหนือ (ลำปาง) และอุทยานแห่งชาติไทรทอง (ชัยภูมิ) ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ได้ร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) เข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎรฯ เพื่อเสนอให้ร่างกฎหมายดังกล่าวครอบคลุมถึงการนิรโทษกรรมความผิดเกี่ยวกับป่าไม้และที่ดิน และคืนสิทธิให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐในอดีต

เครือข่ายฯ ระบุว่า นโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐตลอดทศวรรษที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประชาชนอยู่อาศัยและทำกินมาก่อนประกาศเขตป่า ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากถูกดำเนินคดี สูญเสียที่ดินทำกิน และถูกจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่มาตรการชดเชยและแก้ปัญหาของภาครัฐยังไม่สามารถคืนความเป็นธรรมได้จริง

 

ขบวนการพีมูฟและเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบได้เสนอ 3 ข้อเรียกร้องหลัก ได้แก่

  1. ยืนยันผลกระทบจากนโยบายรัฐ การดำเนินงานตามนโยบายการจัดการด้านที่ดินและป่าไม้ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ยากจน กลุ่มชาติพันธุ์ และคนชายขอบได้รับความเสียหายจำนวนมาก ไม่มีความมั่นคงในที่ดินและที่อยู่อาศัย ถูกแนวเขตที่ดินของรัฐทับพื้นที่ทำกินเดิม จากผู้บุกเบิกกลายเป็นผู้บุกรุก ที่ดินของตนเอง ขณะที่ในหลายพื้นที่กลับพบว่านายทุนและผู้มีอิทธิพลถือครองที่ดินจำนวนมาก โดยเฉพาะหลังรัฐประหารปี 2557 มีคดีที่เกิดจากนโยบายทวงคืนผืนป่า กว่า 48,000 คดี
  2. ชี้นโยบายทวงคืนผืนป่าล้มเหลว เครือข่ายฯ ระบุว่า การดำเนินนโยบายดังกล่าวสะท้อนถึงความล้มเหลวในการจัดการทรัพยากรแบบรวมศูนย์ของรัฐ ที่ไม่สามารถจัดการกับกลุ่มนายทุนได้จริง แต่กลับดำเนินคดีกับผู้ยากไร้ ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากกลายเป็นเหยื่อ สูญเสียสิทธิในที่ดิน ทำให้ครอบครัวแตกแยก มีหนี้สินและถูกคุกคาม ทั้งที่ประชาชนเหล่านี้ทำกินโดยสุจริตบนผืนดินของบรรพบุรุษ
  3. สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายเพื่อคืนสิทธิ เครือข่ายฯ สนับสนุนให้มีการแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อคืนสิทธิและความเป็นธรรมให้ผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรยึดหลักประชาธิปไตย เคารพสิทธิชุมชน และสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการดำเนินการตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 และ 66/2557 ซึ่งแม้มีเจตนาคุ้มครองผู้ยากไร้ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นจริง ปัจจุบันยังมีคดีค้างอยู่กว่า 30,000 คดี และชาวบ้านจำนวนมากยังถูกห้ามเข้าใช้พื้นที่ทำกินเดิม

 

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า "ขณะนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สภาผู้แทนราษฎรจะต้องทำหน้าที่ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีทั้งการคืนสิทธิและการนิรโทษกรรม พร้อมกำหนดกรอบการดำเนินการที่ชัดเจนต่อกลุ่มบุคคล ประเภทความผิด และช่วงเวลาการนิรโทษกรรม เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตป่าทับพื้นที่ชุมชน"

พ.ต.อ.ทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปัจจุบันมีพื้นที่กว่า 4.7 ล้านไร่ ที่รัฐยังไม่สามารถพิสูจน์สิทธิ์ได้อย่างชัดเจน และมีชุมชนจำนวนมากที่ถูกประกาศทับที่อยู่อาศัยเดิมของประชาชน คณะกรรมาธิการฯ จะเร่งพิจารณาเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม พร้อมยืนยันว่า หลังการนิรโทษกรรมจะไม่มีการบุกรุกใหม่ ไม่มีนายทุนเข้าครอบครองพื้นที่ และจะเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศจากร้อยละ 31 เป็นร้อยละ 40"

 

นายเลาฟั้ง บัณทิตเทอดสกุล รองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า รวมถึงการปราบปรามความผิดตามกฎหมายป่าไม้หลังปี 2541 ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านทั่วไป มีสัดส่วนนายทุนน้อยมาก

“คณะกรรมาธิการให้ความสำคัญกับการกลั่นกรองผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติออกจากร่างกฎหมายนี้ โดยได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อร่างกฎหมายอย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติจะถูกคัดออกไป”

 

นายเลาฟั้งยังกล่าวถึงประเด็นการยื่นเรื่อง ป.ป.ช. ว่า “การเสนอกฎหมายครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นของตนหรือของนายซูการ์โน มะทา เป็นกระบวนการทางนิติบัญญัติปกติ เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบหรือถูกรัฐรังแกจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ประชาชนกลุ่มนี้ไม่ได้รับการคุ้มครองตามมติคณะรัฐมนตรีหรือคำสั่ง คสช. 66/57”

“ผู้ได้รับผลกระทบไม่ควรถูกดำเนินคดีตั้งแต่ต้น แต่รัฐอ้างว่าพวกเขาเป็นนายทุนและจับกุมดำเนินคดี ทั้งที่ตรวจสอบแล้วพบว่าพวกเขาเป็นชาวบ้านทั่วไป วิธีเดียวที่จะคืนความเป็นธรรมคือผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ ด้วยการออกกฎหมายล้างความผิดและล้างมลทิน เพื่อให้พวกเขาได้รับความเป็นธรรมและสามารถกลับไปใช้สิทธิในที่ดินของตนผ่านกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ปกติได้”

 

เครือข่ายภาคประชาชนและพีมูฟยืนยันร่วมกันว่า การผลักดันร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ ครั้งนี้ คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูสิทธิ ความยุติธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน เพื่อสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

 

 

 

ภาพจาก : สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร