18 September 2025
106
นรเศรษฐ์ ปรัชญากร ห่วงผลกระทบสิ่งแวดล้อม วิถีชุมชน-เศรษฐกิจฐานราก แนะทำ SEA และเปิดเวทีฟังความเห็นรอบด้านก่อนเดินหน้า
15 กันยายน 2568 นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา แถลงข่าวหลังลงพื้นที่จังหวัดชุมพร ระนอง และสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 12–14 กันยายน 2568 เพื่อรับฟังความเห็นของภาคประชาชนและภาคประชาสังคมต่อโครงการแลนด์บริดจ์ และร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC)
นายนรเศรษฐ์ เปิดเผยว่า จากการรับฟังความคิดเห็นพบว่ามีข้อกังวลหลายประการ ทั้งในส่วนของรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) และร่างกฎหมาย SEC ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานรากและวิถีชุมชนอย่างกว้างขวาง
ประเด็นแรก เกี่ยวกับกระบวนการจัดทำ EHIA ที่ถูกมองว่าขาดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม แม้โครงการเริ่มศึกษาเมื่อปี 2557 และสรุปเส้นทางในปี 2560 แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับข้อมูลครบถ้วน เวทีรับฟังความคิดเห็นมีน้อย จำกัดอยู่เฉพาะหน่วยงานรัฐและผู้นำท้องถิ่น ผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงกลับไม่ได้เข้าร่วมโดยตรง
การประเมิน EHIA ยังถูกแยกออกเป็น 3 ส่วน คือ ท่าเรือ ทางหลวง และรถไฟ โดยท่าเรือทั้งสองฝั่งทำรายงานแยกกัน ไม่ได้ประเมินผลกระทบในภาพรวม และไม่สะท้อนผลกระทบที่แท้จริง ขอบเขตการศึกษาจำกัดเพียง 5 กิโลเมตร ไม่ครอบคลุมผลต่อเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ ข้อมูลบางส่วนในรายงานไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เช่น จำนวนสัตว์หน้าดินที่ระบุว่ามีเพียง 7 ตัว 1 ชนิด ทั้งที่ชาวบ้านยืนยันว่ามีความหลากหลายสูงกว่า หรือจำนวนแพทย์ในโรงพยาบาลที่รายงานว่ามีมาก ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่เพียงพอรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังไม่มีการพิจารณารอยเลื่อนเปลือกโลก และมีข้อสังเกตว่าการเร่งรัดจัดทำภายใน 120 วัน อาจเป็นไปเพื่อให้สอดคล้องกับกรอบกฎหมาย SEC ที่กำหนดไว้
ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม พื้นที่ก่อสร้างท่าเรือทับซ้อนกับเขตชีวิตมณฑลและพื้นที่ที่เคยถูกเสนอเป็นมรดกโลก หากก่อสร้างจะสูญเสียคุณค่าทางธรรมชาติถาวร ท่าเรือระนองมีขนาดเท่าเกาะพยาม ส่วนท่าเรือชุมพรมีขนาดใหญ่ราว 3.5 เท่าของเกาะหลีเป๊ะ ต้องใช้ดินหินมหาศาลถมทะเล เสี่ยงต่อการกัดเซาะชายฝั่ง เกาะพยามและพื้นที่ใกล้เคียงอาจเสียหาย การระเบิดภูเขาเพื่อขนหินและเรือสินค้าจำนวนมากจะทำลายสัตว์น้ำ รวมถึงแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ “ดอนตาแพ้ว” ที่อาจถูกทำลายกว่าครึ่ง อีกทั้งกรมชลประทานยังมีแผนสร้างเขื่อน 9–13 แห่งเพื่อป้อนน้ำให้ชุมชน ซึ่งกระทบวิถีชีวิตประชาชน
ผลกระทบต่อชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่น กลุ่มชาวมอแกนและผู้พลัดถิ่นเสี่ยงถูกย้ายถิ่นฐานโดยไม่มีที่อยู่อาศัยรองรับ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยเฉพาะเกาะพยาม จะเสียหาย อาชีพประมงได้รับผลกระทบ รายงานยังประเมินมูลค่าแรงงานประมงต่ำกว่าความจริง ระบุรายได้เพียง 10,000 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ขณะที่ความจริงอยู่ราว 30,000 บาท
ข้อกังวลต่อร่างกฎหมาย SEC ชาวบ้านเห็นว่าอำนาจของคณะกรรมการอาจล้นเกินและเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน ลักษณะคล้ายกฎหมาย EEC เปิดช่องให้เว้นกฎหมายหรือออกกฎหมายใหม่ได้ เช่น ให้นักลงทุนต่างชาติพำนักระยะยาว ใช้เงินตราต่างประเทศ เช่าที่ดิน 99 ปี และทำอาชีพสงวนของคนไทยได้
ในด้านเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว มีความกังวลต่อการตัดถนน ทางรถไฟผ่าน อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร ซึ่งเป็นแหล่งทุเรียน มังคุด และกาแฟ มูลค่ารวมกว่าหมื่นล้านบาทต่อปี การก่อสร้างจะกระทบแหล่งน้ำสำคัญที่ใช้ทำการเกษตร อีกทั้งตามร่างกฎหมาย SEC กำหนดให้น้ำเป็นทรัพย์สินของรัฐ ทำให้ชาวบ้านหวั่นว่าจะถูกจำกัดสิทธิการใช้น้ำ มลพิษจากนิคมอุตสาหกรรมอาจกระทบพื้นที่เกษตรและสุขภาพของประชาชน ขณะที่ภาคท่องเที่ยวเสี่ยงสูญเสียจุดขายทางธรรมชาติและวิถีชีวิตดั้งเดิม
ประเด็นสำคัญอีกประการคือกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ไม่เปิดกว้าง ผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมากไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอและไม่เข้าใจสาระสำคัญของกฎหมายจริง ๆ
คณะกรรมาธิการฯ จึงมีข้อเสนอให้ทบทวนและชะลอโครงการแลนด์บริดจ์ รวมถึงการผลักดันกฎหมาย SEC จนกว่าจะมีการศึกษาและรับฟังความเห็นรอบด้าน เสนอให้จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) โดยให้สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือหน่วยงานกลางเป็นผู้ดำเนินการ เพื่อประเมินผลกระทบเชิงพื้นที่และเชื่อมโยงโครงการทั้งหมด พร้อมเปิดให้ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ชาวมอแกนและคนไทยพลัดถิ่น เข้ามามีส่วนร่วมและได้รับการแก้ไขปัญหาที่ดิน
คณะกรรมาธิการฯ ยังเสนอให้การพัฒนาภาคใต้สอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่ เช่น เกษตรยั่งยืน การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และโครงการที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ไม่ใช่การพัฒนาที่ถูกยัดเยียด พร้อมเสนอให้พิจารณาทางเลือกอื่น เช่น โครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด ที่ใช้งบลงทุนต่ำกว่าและอาจส่งผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนรองรับอยู่แล้ว
จากการรับฟังความคิดเห็น "ชาวบ้านยืนยันว่าไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนา แต่ต้องการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ต้องการความเจริญที่ขัดกับศักยภาพและวิถีชีวิตในพื้นที่ และฝากให้รัฐบาลคำนึงถึงเศรษฐกิจฐานราก วิถีชีวิตดั้งเดิม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้โครงการขนาดใหญ่มีความชอบธรรมและยั่งยืน"
นายนรเศรษฐ์ กล่าวถึงท่าทีของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ว่า "แม้มีเจตนาผลักดันโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่โครงการที่ใช้งบประมาณมหาศาลและใช้เวลาก่อสร้างนับสิบปี ควรได้รับฉันทามติจากประชาชนทั้งประเทศ ไม่ควรรีบเร่ง โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลชุดนี้มีระยะเวลากำหนดชัดเจนในการยุบสภาภายใน 4 เดือน หากต้องการผลักดันจริง ควรนำนโยบาย SEC ไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมจากประชาชน"
นอกจากนี้ยังมองว่า ภายใน 4 เดือน โครงการแลนด์บริดจ์คงไม่คืบหน้ามากนัก เพราะรายงาน EHIA และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ยังไม่แล้วเสร็จทั้งหมด การผลักดันกฎหมาย SEC ก็ไม่ควรมองแยกจากกัน หากรัฐบาลต้องการเดินหน้าจริงควรเป็นการทำงานระยะยาว ควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้นและการแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนโครงการขนาดใหญ่สามารถศึกษาไปพร้อมกันได้ แต่ไม่ควรเร่งรัด