โดย เครือข่ายนักวิชาการลุ่มน้ำโขงอีสาน
17 กรกฎาคม 2563
นับตั้งแต่มีการพัฒนาแหล่งน้ำในภาคอีสานภายใต้โครงการ โขง ชี มูล มาตลอดระยะเวลา 30 ปี ได้ก่อให้เกิดปัญหาแก่ชุมชน เช่น โครงการฝายกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี และการพัฒนาหนองหานกุมภวาปีเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานในลุ่มน้ำลำปาว ผลที่ได้คือคันดินรอบหนองฯ ที่ปิดกั้นน้ำและทำให้เกิดน้ำท่วมที่นาของชาวบ้านนอกคันดิน สถานีสูบน้ำที่ใช้การไม่ได้และไม่มีงบประมาณในการดูแลซ่อมแซมและเปิดใช้งาน สร้างพื้นที่น้ำท่วมมากกว่าพื้นที่ชลประทานที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการเสียอีก โครงการใช้งบประมาณดำเนินการไปเกือบพันล้าน แต่ใช้การได้ไม่คุ้มค่าและเสียค่าใช้จ่ายอีก 900 ล้านเพื่อขุดลอกฟื้นฟูแต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดประสิทธิภาพชลประทานดีขึ้น และกำลังจะของบประมาณอีกนับพันล้านเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมจากความผิดพลาดของโครงการในอดีต อย่างไรก็ตาม รัฐบาลหลายยุคหลายสมัยได้พยายามผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงการโขง ชี มูล แต่ไม่สามารถผลักดันได้สำเร็จ แม้แต่ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศญี่ปุ่น ได้ปฏิเสธที่จะให้เงินกู้กับรัฐบาลไทยภายใต้โครงการดังกล่าวเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ด้วยเหตุผลของต้นทุนการได้น้ำมาถึงเกษตรกรที่สูงเกินไป ไม่คุ้มค่า ค่าใช้จ่ายจะสูญเสียไปกับการสูบน้ำ ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าก่อสร้าง ค่าบริหารโครงการ และความสูญเสียทางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่ยากจะฟื้นฟูได้
ทั้งที่โครงการโขง ชี มูล มีข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงความไม่คุ้มค่าและเป็นการทำลายทรัพยากรท้องถิ่นอันอาจนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางสังคม แต่ในปี 2559 รัฐบาลพลเอกประยุทธ ก็ได้อนุมัติโครงการผันน้ำโขง ห้วยหลวง หนองหานกุมภวาปี ซึ่งก็คือโครงการเดิมที่ออกแบบไว้ตั้งแต่แรกเมื่อ 30 ปีก่อน โดยหน่วยงานที่เสนอคือ กรมชลประทาน ปัจจุบันโครงการนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วโดยไม่ได้นำข้อมูลความเดือดร้อน ผลกระทบที่เกิดขึ้นมาพิจารณา และที่สำคัญคือ ไม่ฟังเสียงของประชาชนที่เผชิญความสูญเสีย
โครงการนี้เดิมทีมีการก่อสร้างประตูระบายน้ำห้วยหลวงปิดกั้นห้วยหลวงกับแม่น้ำโขงไปแล้วก่อนหน้านี้เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว โครงการนี้จะต้องสูบน้ำจากแม่น้ำโขง ณ สถานีสูบน้ำบ้านหนองแดนเมือง ซึ่งห่างจากปากประตูห้วยหลวงประมาณ 5 กิโลเมตร โดยทำการขุดคลองเชื่อมกับแม่น้ำโขงและสูบน้ำเข้ามายังห้วยหลวงที่มีประตูระบายน้ำปิดปากน้ำเอาไว้ และสร้างสถานีสูบน้ำ ฝายทดน้ำ เพื่อสูบทอยน้ำเป็นระยะ ๆ ฝืนแรงโน้มถ่วงของโลก และกระจายน้ำไปยัง 2 ฝั่งของห้วยหลวงเป็นพื้นที่อ่างเก็บน้ำ หรือหนอง บึง ที่จะแปรสภาพเป็นอ่างเก็บน้ำ แล้วส่งกระจายน้ำไปยังพื้นที่เกษตรทั้ง 2 ฝั่ง น้ำที่สูบขึ้นจะถูกส่งและผันผ่านคลองและท่อที่สร้างขึ้นใหม่ข้ามลุ่มน้ำไปยังหนองหานกุมภวาปี และส่งต่อไปยังลำน้ำปาว เขื่อนลำปาว ลุ่มน้ำชี และอีกเส้นทางหนึ่งจะส่งไปยังลุ่มน้ำพองและเขื่อนอุบลรัตน์ โครงการนี้ใช้เงินกว่า 4 หมื่นล้านบาท และได้เริ่มดำเนินการแล้ว ในขณะที่ปัจจุบัน ณ ปากประตูน้ำห้วยหลวงที่ถูกปิดกั้นอยู่มีปลามากมายที่ไม่สามารถว่ายเข้ามาวางไข่ในพื้นที่ป่าบุ่งป่าทามในห้วยหลวงได้ บันไดปลาโจน หรือทางปลาผ่านถูกปิดตาย และน้ำเสียที่ขังเอ่ออยู่หน้าประตูก็สร้างปัญหาให้กับชุมชน นอกจากนี้ การปิด-เปิดประตูน้ำชุมชนท้องถิ่นไม่ได้มีส่วนร่วม แต่ดำเนินการภายใต้การจัดการของกรมชลประทาน
ปัญหาดังกล่าวข้างต้น ยังไม่ได้รับการแก้ไข ความสูญเปล่าและไม่คุ้มค่าจากโครงการในอดีตที่ทำไปแล้วยังไม่ได้รับการใส่ใจความเดือดร้อน ระบบนิเวศที่ถูกทำลาย ปัญหาการสูญเสียพันธุ์ปลาและแหล่งทรัพยากรประมงธรรมชาติมีผลต่อความมั่นคงทางอาหาร และการพึ่งพิงตนเองของประชาชน
ในเชิงโครงสร้าง รัฐบาลได้จัดทำพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ได้ปรับปรุงให้การบริหารจัดการน้ำมีความเป็นเอกภาพโดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ร่วมกับหน่วยงานเดิมคือ กรมชลประทาน ซึ่งน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีที่การจัดการน้ำมีระบบ ระเบียบมากขึ้น ทว่า สิ่งที่ขาดหายไปคือ ทรัพยากรน้ำได้ถูกผูกขาดความรับผิดชอบ และน้ำถูกแยกขาดออกจากระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชุมชน น้ำกลายเป็นของรัฐ น้ำเป็นเรื่องหน้าที่ของรัฐในการแก้ไขปัญหาและดูเหมือนจะมีองค์ความรู้เดียวที่ผูกขาดในการจัดการ คือ การใช้ความรู้เชิงวิศวกรรมแหล่งน้ำมาบริหารจัดการเป็นหลัก การพยายามใช้เจ้าพระยาโมเดลมาเป็นต้นแบบ หวังให้อีสานมีสภาพเหมือนทุ่งนาในภาคกลาง ทำนาได้หลายรอบต่อปี สร้างรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนอีสาน ทั้งที่ลักษณะภูมิประเทศ วิถีชีวิตและวัฒนธรรม ฐานทรัพยากรมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างภาคกลางและอีสาน
แนวคิดการพัฒนาน้ำที่่ไม่คำนึงถึงสภาพพื้นที่และระบบนิเวศที่แตกต่างกัน จึงทำให้หน่วยงานรัฐดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันทุกที่ ซึ่งล้วนแต่เป็นโครงการขุดคัน กั้น ลอก และผันน้ำ จนระบบนิเวศอีสานเสียหาย ป่าบุ่งทามของพื้นที่ลุ่มน้ำมูลอีสานตอนกลางกลายสภาพเป็นอ่างเก็บน้ำเขื่อนราษีไศลและหัวนา รวมพื้นที่กว่า 157,000 ไร่ พื้นที่ชุ่มน้ำอันเป็นแหล่งเพาะฟักขยายพันธุ์ของปลาลุ่มน้ำโขงที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งถูกทำลาย แหล่งต้มเกลือพื้นบ้านกว่า 120 บ่อ และพืชพันธุ์ธรรมชาติในระบบนิเวศท้องถิ่นมากกว่า 150 ชนิด กลายเป็นอ่างเก็บน้ำ แต่ชุมชนท้องถิ่นต้องสูญเสียระบบอาหารและการพึ่งพิงตนเอง ตัวอย่างของความสูญเปล่าคือ งบประมาณที่ใช้ไปสำหรับการชดเชยผลกระทบเบื้องต้น เฉพาะเขื่อนราษีไศลจากปี 2540-2562 ประมาณ 2,527 ล้านบาท เขื่อนใช้งบประมาณก่อสร้าง 871 ล้านบาท ค่าชดเชยที่ชุมชนได้รับก็มาจากการเรียกร้องและชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นที่รัฐ “มองไม่เห็น” มากกว่านั้นคือ รัฐบอกกับประชาชนว่า “จะได้น้ำมาถึงนา พัฒนาคุณภาพชีวิต” แต่ในทางปฏิบัติคือ ประชาชนต้องมีภาระชำระค่าน้ำด้วย น้ำถึงจะมาถึงไร่นา ทั้งที่การก่อสร้างนี้มาจากภาษีประชาชน ก่อนหน้านี้ น้ำคือทรัพยากรที่ชาวบ้านทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และชุมชนมีกลไกการบริหารจัดการน้ำ
รัฐบาลยังเดินหน้าโครงการพัฒนาจำนวนมาก ทั้งที่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น อีกทั้งกระบวนการเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมยังไม่มีประสิทธิภาพ ได้แก่
โครงการประตูระบายน้ำศรีสองรัก ที่ต้องเวนคืนพื้นที่กว่า 700 ไร่บริเวณปากน้ำเลย และสร้างคลองลัดแม่น้ำเลยโดยอ้างว่าจะทำให้มีการระบายน้ำได้ดีขึ้น และเพิ่มพื้นที่ชลประทาน และเพิ่มปริมาณน้ำในแม่น้ำเลยประมาณ 6 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่กลับใช้เงินในการก่อสร้างกว่า 5,000 ล้านบาท
โครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล ซึ่งกรมชลประทานพยามที่จะปฏิเสธตลอดมาว่าเป็นโครงการที่ไม่เกี่ยวกับประตูระบายน้ำศรีสองรักเพื่อหลีกเลี่ยงในการทำรายงาน EIA ในโครงการประตูระบายน้ำศรีสองรัก ทั้ง ๆ ที่ประตูระบายน้ำฯ จะสร้างห่างจากคลองชักน้ำที่จะสร้างขึ้นใหม่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเลยซึ่งต้องขยายและขุดลอกแม่น้ำเลยจากปากแม่น้ำเลยที่สบกับแม่น้ำโขงยาวประมาณ 2 กิโลเมตร และลึกกว่า 10 เมตร กว้างถึง 350 เมตร เพื่อให้น้ำโขงไหลเข้าไปยังคลองชักน้ำที่กว้างถึง 250 เมตร โดยมีประตูน้ำศรีสองรักปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้ย้อนเข้าไปในแม่น้ำเลยเดิม โดยผันน้ำผ่านคลองชักน้ำและส่งต่อไปยังอุโมงค์ผันน้ำโขงผ่านภูเขาที่ต้องเจาะภูเขาเป็นอุโมงค์เส้นผ่านศูนย์กลางของอุโมงค์ประมาณ 10 เมตร และส่งน้ำไปยังแม่น้ำสายใหม่ที่จะสร้างขึ้นไปยังเขื่อนอุบลรัตน์ ลุ่มน้ำมูล ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำสงคราม เสมือนประหนึ่งว่าสร้างแม่น้ำขนาดพอ ๆ กับแม่น้ำโขงขึ้นมาใหม่ในแผ่นดินอีสานและผันไปยังลุ่มน้ำต่าง ๆ ผ่านคลองสายหลัก สายรอง คลองซอย คลองย่อย ระยะทางรวมกันมากกว่า 2,000 กิโลเมตร และใช้เงินก่อสร้างกว่า 1.2 ล้านล้านบาท
โครงการเขื่อนในแม่น้ำโขงยังมีหน่วยงานที่มีส่วนในการผลักดันทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนดังกล่าว หรือการดำเนินการที่จะสร้างเอง เช่น เขื่อนสานะคามของ สปป.ลาว ที่อยู่ห่างจากอำเภอเชียงคานเพียง 2 กิโลเมตร อยู่ใกล้กับแม่น้ำเหืองเขตชายแดนไทย-ลาวไม่ถึง 1 กิโลเมตร ซึ่งคาดว่าไทยจะซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนนี้ รวมถึงการปัดฝุ่นเขื่อนปากชม ซึ่งเดิมเป็นโครงการของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงานในสมัยก่อน วัตถุประสงค์เพื่อการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะมีขนาดโครงการที่ใหญ่กว่าเดิม กล่าวคือ เขื่อนปากชมจะมีประตูเขื่อน จำนวน 14 บานระตู จะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำ 50,000 ไร่ และผลิตไฟฟ้าได้ 1600 เมกะวัตต์ โดยการสร้างเขื่อนนี้จะยกระดับน้ำในแม่น้ำโขงให้สูงขึ้นไปจนถึงปากน้ำเลยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผันน้ำโขงเข้าสู่แม่น้ำเลย ภายใต้อภิมหาโครงการผันน้ำ โขง เลย ชี มูล มากขึ้น
ทั้งหมดนี้ คือ “หายนะรอบใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม” ด้วยขนาดเงินลงทุน ผลประโยชน์ ผลกระทบ และความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความเสี่ยงอันอาจจะเกิดจากแผ่นดินไหวและรอยเลื่อนที่ยังมีพลังยังสามารถขยับตัวและสร้างหายนะอย่างใหญ่หลวงได้ จนทำให้เขื่อนใดเขื่อนหนึ่งของจีน หรือลาวแตกและมวลน้ำมหาศาลจะพังเขื่อนที่ลดหลั่นลงมาเหมือนการล้มของโดมิโน่และอาจจะกวาดล้างเอาชีวิตของผู้คนสองฝั่งแม่น้ำโขงไปนับล้าน ความเสี่ยงและความเสียหายใหม่ บนความเสียหายซ้ำซากและความสูญเปล่าของเดิม เกิดคำถาม คือ “ใครจะต้องรับผิดชอบหากเกิดปัญหาขึ้น”
ดังนั้น เครือข่ายนักวิชาการลุ่มน้ำโขงอีสาน มีความห่วงกังวลต่อโครงการต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่ยังขาดการพิจารณาบนฐานความรู้อย่างแท้จริง จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ดังนี้
รายชื่อนักวิชาการที่ร่วมลงชื่อ
1.สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2.ดร.มณีรัตน์ มิตรประสาท
3.ดร.มาลี สิทธิเกรียงไกร อาจารย์ ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
4.จิตราภรณ์ สมยานนทนากุล อาจารย์ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
5.ไพรินทร์ เสาะสาย มูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ