3 September 2015
1036
การมีตัวตนเป็นคนของรัฐ มีสิทธิ เสรี เสมอภาคทัดเทียมคนอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับคนบางกลุ่ม ที่ซึ่งถูกลืมถูกทำให้ตกหล่นสถานะจากหน่วยรัฐมายาวนานด้วยอคติทางชาติพันธุ์และความไม่รู้ไม่ตื่นตัวของกลุ่มแต่ละชาติพันธุ์เองด้วย แต่ด้วยสาเหตุว่า การเป็นพเมืองของรัฐสมัยใหม่นั้นมีสิทธิประโยชน์ และการไม่มีสถานะนั้น มีโทษ เป็นบุคคลไร้สถานะ หรือเถื่อนนั้น ถูกตัดสิทธิ์ ขั้นพื้นฐาน ตัดโอกาสสำคัญๆ กระทบไปถึงลูกหลานภาคหน้า และนอกจากนั้นอาจจะถูกรุกรานถูกกระทำจากกลุ่มคนกลุ่มอื่นๆ อาทิ กลุ่มนายทุน ซึ่งทำให้นอกจากไร้สถานะตัวตนแล้ว อาจจะไร้ที่อยู่อาศัยได้ด้วย หากจะทำความเข้าใจก็คงต้องย้อนมองเรื่องราวชีวิตชาวเลว่าเป็นที่รู้จัก พูดถึงเมื่อไหร่และอย่างไร ชาวเลเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อประมาณปี 2539 เริ่มมีการบัญญัติจากชาวเลเป็นชาวไทยใหม่ แล้วก็รู้สึกว่างบประมาณอะไรทุกย่างก็ลงไปที่ชาวไทยใหม่ จะต้องไปเรียกตัวเองว่าชาวไทยใหม่จึงจะได้อะไรเท่ากับที่คนอื่นเขาได้ ปี 2543 ก็เริ่มปรับจากชาวไทยใหม่ก็เริ่มไปรู้จักกับชาวมอแกน ตอนนั้นอุรักละโว้ยกับมอแกนยังไม่มีใครรู้จัก พอ 2547 โดนสึนามิคราวนี้สังคมชาวเลก็เริ่มเปิด ปี 47 ยังไม่รู้จักอุรักละโว้ยกับมอแกน แต่พอเริ่มปี 2549 กับ2550 เริ่มรู้จักว่าชาวเลมีอยู่ 3 เผ่า หลังจากนั้น ปี 2551 ก็เข้าสู่นโยบายรัฐที่ชื่อว่าการส่งเสริมสิทธิคนชายขอบ มีชาวเลไทยพลัดถิ่นก็ทำด้วยกันในเรื่องของสิทธิสถานะ หลังจากนั้นปี 2552 ก็เริ่มรวบรวมระบบฐานข้อมูลแล้วก็นำเสนอ 2 มิถุนายน 2553 ก็เข้าสู่นโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล จากนั้น 2553 ชาวเลก็เริ่มที่จะขยับไปกับขบวนใหญ่ของประเทศ เรียกว่าขบวนเครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง ซึ่งเกิดเมื่อปี 2550 แต่ว่าก็มาขยับร่วมกันแล้วเข้าไปมีส่วนร่วมเริ่มมีมติ ครม. ก็รู้สึกว่าเริ่มจะมีค่ามากขึ้น หลังจากนั้นปี 2555 มติ ครม . ที่ผ่านมาสองปีก็เริ่มเป็นที่เข้าใจแล้วก็เริ่มที่จะขยับใช้คณะกรรมการอะไรต่างๆก็เริ่มที่จะแต่งตั้งชาวเลมากขึ้นเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้นจน ปี 2557 เกิดเป็นยุทธศาสตร์ชาวเลอันดามันมีอยู่ 5 จังหวัดแล้วก็ในส่วนของชนเผ่าปี 2556 ชาวเลก็ได้เข้าไปเชื่อมประสานกับชนเผ่าแห่งนี้ที่เทือกเขาบรรทัดด้วย สภาพื้นที่ของชาวเลก็คือชาวเลร่วมขบวนมาตั้งแต่ปี 2550 เริ่มตอนแรกมาร่วมงานกิจกรรมปี 2550 ก็เริ่มกิจกรรมงานชนเผ่า ปี 2553 ก็ร่วมประกาศการจัดตั้งสมัชชาชนเผ่าร่วมกัน หลังจากนั้นปี 2556 ที่เครือข่ายชนเผ่าไปร่วมงานที่ภาคใต้ก็คุยกันชาวเลก็เลยคิดว่าเราจะต้องจัดตั้งสภาขึ้นมาเพื่อที่จะสร้างกลไกการไปสอดรับกับนโยบายต่างๆเพื่อให้ตนเองได้มีบทบาทในนั้นร่วมด้วย เมื่อก่อนนั้นไม่ได้กำหนด พอปี 2557 อันนี้มันมีอยู่สองส่วนสภาภาค ก็คือจะเป็นแค่คณะขับเคลื่อนกิจการสภา ส่วนสภาพื้นที่นี้จะมีเป็นสภาเลยแล้วก็บริหารตัวเองในลักษณะของสภาร่วมกับจังหวัด แล้วก็ร่วมกับนโยบายของรัฐในส่วนนโยบายต่างๆ ชื่อว่า ชาติพันธุ์ชาวเลชนเผ่ามอแกนมอแกรน อันนั้นก็คือบริหารในลักษณะสภามีคณะกรรมการในภายใน ส่วนของภาคก็มีคณะกรรมการเป็นคณะขับเคลื่อนยังไม่มีบริบทเป็นสภา ยังไม่มีสำนักงาน แต่ว่ามีแผนยุทธศาสตร์ ปัจจุบันสถานการณ์หรือว่าสิ่งที่ถูกมองหรือถูกกระทำมันก็มีเรื่องต่างๆมากมาย ภาครัฐได้สร้างกฎเกณฑ์หรือ พรบ.บางตัวบางอย่างทำให้รู้สึกว่าได้จำกัดสิทธิบางส่วน ขณะเดียวกันก็พยายามบอกว่าให้สิทธิ์ โดยให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งสร้างความภาคภูมิใจหรือว่ามั่นใจ แต่จริงๆแล้วมันอาจจะไม่ได้เกิดอย่างที่ตั้งใจหรือต้องการก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น นายทุน ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยชนเผ่าพื้นเมือง อันนี้ก็ถือว่าเป็นผลดีทำให้สามารถต่อสู้ในระดับท้องถิ่น ท้องที่ ระดับชาติ และก็ระดับนานาชาติได้ นายทุนเข้ามาในชุมชนแย่งชิงทรัพยากรมากขึ้น เรื่องพืชเศรษฐกิจ เรื่องครอบครัว บุกรุกเข้าไปในพื้นที่มากขึ้น มติ ครม. 2 ปี 53 ว่าด้วยฟื้นฟูชีวิตชาวเล มติ ครม. 3 สิงหาคม 2553 ว่าด้วยการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ตอนนี้ก็กำลังดำเนินการเร่งสร้างพื้นที่ให้เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วก็ พรบ.สัญชาติ มติ ครม.23 มีนาคม ว่าด้วยเรื่องสุขภาพ ว่าด้วยเรื่องการคืนสิทธิ์ต่างๆ แล้วก็ภาคประชาสังคมเข้มแข็งในเรื่องประเด็นต่างๆ เช่น ในเรื่องของสื่อทางเลือกก็มีThaiPBS แล้วก็วิถีชุมชนที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นทำให้เรามีช่องทางมีเวทีในการสื่อสารกับสาธารณชนมากขึ้น ทั้งหมดนี้ก็ในฐานะพี่น้องชาติพันธุ์ พี่น้องชนเผ่าและพี่น้องชาวเล ประวัติศาสตร์หรือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นชาวเลล้วนเป็นผู้ถูกกระทำในเรื่องของแย่งชิงทรัพยากรในกฎหมาย นโยบายต่างๆที่ทำให้ชุมชนได้รับผลกระทบ เรื่องสิทธิเสรีภาพ บัตรประชาชน เรื่องการจับกุม ถูกมองว่าชนเผ่าไม่ใช่ชนเผ่าจริงๆ เป็นคนชายขอบนี้คือทัศนคติที่คนสังคมส่วนใหญ่มอง ขณะเดียวกันก็ทำให้ชาวเลเริ่มเปิดข้อมูล เปิดสังคมในโลกทัศน์ที่กว้างขึ้นด้วยข้อมูลด้วยการศึกษาการสื่อสารต่างๆ สุดท้ายก็ได้ร่วมกับเครือข่ายประชาสังคม รวมทั้งเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยในการก่อตั้งเป็นเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยขึ้นมาอันนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์คร่าวๆ อันนี้คือภาพที่มันไม่ค่อยได้คุยถึง เวลาคุยก็คุยว่าเริ่มตั้งแต่ปี 2550 ตั้งแต่ที่ไปประท้วง ไปเรียกร้องสิทธิ์ที่ศาลากลางเราก็เริ่มมารู้แค่นั้น แต่ว่าประวัติศาสตร์จริงๆมันผ่านมาเป็นร้อยๆปี ก็เป็นภาพกว้างๆ มากกว่า เรื่องถูกกระทำ ก็มีตัวอย่าง เช่นตอนแรกชาวเลไม่รู้ว่าจะมีกระดูกบรรพบุรุษอยู่ในบ้านหลังนั้น พอเข้ามาตรวจดีเอ็นเอแล้วก็ได้บอกกับทางโน้นว่ามีกระดูกบรรพบุรุษจริงๆ แล้วคนในหมู่บ้านจะให้ขุดออกมาไหมไปตรวจดีเอ็นเอว่าใช่บรรพบุรุษของชาวเล จริงหรือเปล่า ซึ่งชาวบ้านก็ดีใจที่เขาขุดได้ ซึ่งเขาทำพิธีขอขมาก่อน ซึ่งก็ขุดเจอเจอกระดูก ฟัน แล้วก็เข่า แขน พอเอาไปตรวจชันสูตรเสร็จแล้วก็เอาโครงกระดูกนี้ไปฝั่งอีกที่หนึ่งที่เกาะแล้วก็ไปขุดหลุมที่เกาะนั้นก็เจอหม้อดินของโบราณอีก แล้วก็ไปฝั่งที่ตรงนั้นที่เดิมแล้วเขาก็มาขุดต่อก็เจอโครงกระดูกอีกจนไม่ขุดแล้วจุดนั้นเขาไปฝั่งที่แล้วเขาก็ทำศาลพระภูมิให้กับปู่ย่าตายายบรรพบุรุษเราที่อยู่ตรง ที่จริงเรื่องของการขุดกระดูกเป็นเรื่องของความเชื่อตอนแรกเขาคิดว่ากระดูกบรรพบุรุษมันมีอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นและก็คิดว่าตรงนั้นน่าจะมีดีเอ็นเออยู่ตรงนั้น แล้วก็เอาไปให้ต่างประเทศตรวจเพื่อความมั่นใจของคนในชาติว่านายทุนจะได้ไม่บอกว่าแกล้งเขา พอตรวจดีเอ็นเอมันตรงกันทีนี้นำไปสู่การเพิกถอนที่ดินผืนแรก ที่ดินมีอยู่สามผืนที่ติดอยู่ด้านหน้าสุดก็กำลังจะเพิกถอนเป็นพื้นที่สีเขียวแล้วตอนนี้ อีกพื้นที่หนึ่งก็จะเป็นพื้นที่สีส้ม ส่วนพื้นที่ด้านหลังก็เป็นพื้นที่สีแดงก็อันนั้นก็ต้องต่อสู้กันต่อไป ก็ถือว่าความเชื่อสามารถนำมาสู่การแก้ปัญหา เพราะอันนี้ดีเอสไอไปทำพื้นที่กั้นแล้วก็แสกนลงไปใต้พื้นดินแต่ไม่เจอ ต้องใช้ไม้เท้าของผู้เฒ่าฝังลงไปใช่วิธีการทางความเชื่อนี้ถึงจะหาเจอ”