Advertisement

Banner 600x250 px

Advertise with us

ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

รู้จัก นักสิทธิมนุษยชน ประชาชนคนธรรมดาผู้ไม่ยอมจำนน

รู้จัก นักสิทธิมนุษยชน ประชาชนคนธรรมดาผู้ไม่ยอมจำนน

11 July 2012

1851

ก่อนที่จะเขียนบทความนี้ในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔       เมื่อ ๓ วันก่อน(๒๘ ก.ค.) เมื่อผมหยิบ BB ขึ้นมาดูความเป็นไปบนโลก Face book   ผมเห็นอัพเดทล่าสุดบนเฟซบุ๊คของ “กิตตินันท์ นาคทอง”เพื่อนผมซึ่งร่วมงานภาคสังคมด้วยกันในการทำนิตยสาร Democrazy และในคณะทำงานของวุฒิสภา(เมื่อครั้งที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็น ส.ว.สรรหา)  ปัจจุบันพี่อ๊อฟเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ASTV-ผู้จัดการ พี่ อ๊อฟอัพเดทข่าวที่ทำให้ผมรู้สึกอดใจหายไม่ได้ นั่นคือ ข่าวการถูกลอบสังหารด้วยอาวุธปืนในเวลากลางวันแสกๆ ของ “นายทองนาค เสวกจินดา” ชีวิตจริงๆของคุณทองนาค เป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง มีอาชีพเปิดร้านขายของและขายก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านตัวเอง แต่ต้องมาผกผันตัวเองมาเป็นแกนนำคนสำคัญของชาวบ้านหมู่ ๔ ต.ท่าทราย    อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการโรงถ่านหินของบริษัทเทคนิ ทีม(ไทยแลนด์)จำกัด ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านในพื้นที่อันเนื่องมาจากการใช้โกดังพัก สินค้าการเกษตรเป็นที่เก็บและขนถ่ายถ่านหิน ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาฝุ่นละออง ถ่านหิน(คนที่เป็นโรคหอบหืดอย่างผมเข้าใจว่าฝุ่นละอองทุกชนิดมันเลวร้ายขนาด ไหน)และรวมถึงปัญหามลภาวะทางเสียงของรถบรรทุกที่ลักลอบขนถ่านหินในยามวิกาล ซึ่งปัญหาเหล่านี้ คุณทองนาคเป็นแกนนำในการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวบ้านในพื้นที่มากว่า ๒ ปีแล้ว  เพราะแม้ทั้งศาลและทางผู้ว่าราชการจังหวัดจะมีคำสั่งให้บริษัทดัง กล่าวหยุดการประกอบกิจการที่ก่อมลภาวะส่งผลกระทบต่อประชาชนแล้ว   แต่การ ลักลอบผลิตและขนถ่ายถ่านหินยังคงเกิดขึ้นโดยขาดมาตรการความรับผิดชอบต่อสุข ภาวะชุมชนมาตลอด ที่ผมสะเทือนใจเพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งอ่านข่าวการชุมนุม ปิดถนนพระราม ๒ ของกลุ่มต่อต้านโรงถ่านหินในพื้นที่นี้ที่ประสบความสำเร็จจนทำให้ผู้ว่า ราชการจังหวัดฯต้องสั่งหยุดการขนถ่ายถ่านหิน ( แม้สั่งแล้วก็ยังมีการลักลอบฝืนคำสั่งก็ตาม ) และเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนผมจะเกิดนอนไม่หลับแล้วลุกขึ้นมาเขียน บทความนี้ ผมทราบรายงานข่าวล่าสุดว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้ “พลตำรวจเอกภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา”  รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ ผมจึงโพสลิ้งค์ข่าวในเว็บ NationChannelลงในเฟซบุ๊คของลูกสาวท่านภาณุพงศ์ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเรียนจบคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มาด้วยกัน เพื่อฝากขอร้องไปยังคุณพ่อให้ช่วยทำคดีนี้ให้ถึงที่สุด คืนความเป็นธรรมให้คุณทองนาค เรื่องราวของพี่ทองนาค พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวคนหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของชาวสมุทรสาคร จนทำให้ตัวเองต้องพบจุดจบของชีวิตอย่างน่าเศร้าขณะที่แกกำลังใช้ชีวิตปกติ ประจำวันอย่างพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวคนหนึ่ง ทำให้ผมเกิดฉุกคิดขึ้นมาว่า แท้จริงแล้ว  ความเป็น “นักสิทธิมนุษยชน”มันเป็นจิตวิญญาณที่สามารถเกิดขึ้นมาได้ในจิตใจของประชาชน คนธรรมดาทั่วๆไป ที่เราอาจเจอได้บนท้องถนน  ร้านขายของ  โรงงานห้างร้าน  หรือตามเทือกสวนไร่นา ผมนึกถึงตัวผมเองสมัยก่อนที่จะเข้ามาสู่แวดวงขบวนการภาคประชาสังคม ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่า “NGO”คืออะไร ? “นักสิทธิมนุษยชน”คืออะไร ? ยิ่งเวลามีการประท้วงคัดค้านนโยบาย โครงการต่างๆของภาครัฐ ความเข้าใจในสมองของผมจะเข้าใจว่าคนเหล่านี้คือ “ผู้ที่มีอาชีพรับเงินจากองค์กรเถื่อนของต่างชาติเพื่อขัดขวางความเจริญใน ประเทศ”ตามด้วยคำด่าทอ “ไอ้ห่าพวกนี้มันทำประโยชน์อะไรให้ประเทศบ้าง” กระทั่งต่อมาช่วงชีวิตที่ผมสนุกสนานกับการทำกิจกรรมภาคสังคมในแบบเยาวชน นักศึกษา จนชีวิตผมหลุดเข้ามาสู่สิ่งที่ผมเคยรู้สึกรังเกียจในที่สุด ผมกลายเป็นนัก กิจกรรมที่มาเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในบท “เลขาธิการศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย(YPD)” รวมทั้งเป็นเยาวชนคน เดียวที่เป็นกรรมการ “องค์การนิรโทษกรรมสากล(ประเทศไทย)”ยุคที่มี “ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์”เป็นประธาน ผมจึงได้สัมผัสผู้คนมากหน้าหลายตาที่อยู่ใน แวดวงนี้  ส่วนหนึ่งก็พบว่า “เอ็นจีโอ”แท้จริงก็คืออาชีพนักพัฒนาในองค์กรที่อยู่นอกภาครัฐและไม่แสวงหา กำไร แหล่งเงินทุนสนับสนุนที่ผมเคยเข้าใจว่าเป็นองค์กรเถื่อนของต่างชาติ จริงๆคือองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศที่มีความก้าวหน้าในด้านสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน และประชาชนในประเทศเหล่านั้นเห็นความสำคัญพร้อมใจร่วมลงขันบริจาคสนับสนุน การเสริมสร้างสิทธิเสรีภาพ ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรมให้เกิดในประเทศอื่นๆด้วย แต่ประเด็นสำคัญที่ทำให้ผมอยากเขียนบทความนี้ อยู่ตรงที่เรื่องของคนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งหาใช่คนที่มีอาชีพในด้านนี้ที่ทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน(NGO)แต่อย่าง ใด ผมอยากกล่าวถึงคนธรรมดาที่มีชีวิตทำมาหาเลี้ยงชีพปกติทั่วไป ที่ต้องมามี ชีวิตต่อสู้เพื่อสิทธิ ความเป็นธรรมของสังคม อันเนื่องมาจากการที่พวกเขาต้องตกเป็น “ผู้ถูกกระทำจากความเป็นไม่เป็นธรรมในสังคม”เหมือนอย่างพี่ทองนาค ซึ่งที่ผ่านมาจะว่าไปแล้วเรามีคนแบบเดียวกับพี่ทองนาคไม่น้อยเหมือนกัน เราอาจเคยรู้จัก “สมชาย นีละไพจิตร”ในฐานะทนายความผู้สู้คดีให้คนยากไร้ คนถูกรังแกในกระบวนการยุติธรรม จนวันหนึ่งเมื่อทนายสมชายต้องกลายเป็น“ผู้ ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน”เสียเองด้วยการถูกอุ้มหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอย เราจึงได้รู้จักชื่อ “อังคณา นีละไพจิตร”หญิงแม่บ้านชาวมุสลิมธรรมดาคนหนึ่งที่กลายมาเป็นนักสู้เพื่อ สิทธิมนุษยชนของประชาชน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้และเป็นผู้ทำงานต่อต้าน “การทำให้บุคคลหายสาบสูญอย่างไม่เป็นธรรม”ซึ่งเกิดขึ้นหลายกรณีมีผู้ ถูกกระทำหลายราย รวมทั้งสามีของพี่อังคณาที่ชื่อ“สมชาย นีละไพจิตร”ด้วย เรารู้จัก “เจริญ วัดอักษร” ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งในพื้นที่ตำบลบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์  ที่มีอาชีพเปิดร้านอาหาร “ครัวชมวาฬ”ที่ภูมิลำเนาของตนเอง  จนเมื่อวันหนึ่งที่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินได้รุกเข้ามาในชุมชนโดยไม่มีการ รับฟังความเห็นความต้องการของคนพื้นที่ น้าเจริญจึงต้องกลายเป็นแกนนำของคน ในพื้นที่ ต่อสู้คัดค้านโครงการนี้เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและลมหายใจบริสุทธิ์ของ ชุมชนจนรัฐบาลสั่งย้ายโครงการนี้ออกจากพื้นที่ นับแต่นั้นน้าเจริญจึงกลาย เป็นผู้ที่มีบทบาทในการให้ความรู้เพื่อยกระดับขบวนการสิทธิชุมชนของชาวบ้าน หลายพื้นที่ทั่วประเทศ จนในที่สุดน้าเจริญก็ถูกกระสุนมรณะของ“สุนัขลอบกัด” คร่าชีวิต ในระหว่างการต่อสู้เรื่องการออกเอกสารสิทธิที่ดินอย่างไม่เป็นธรรม ช่วงปีสองปีมานี้ เรารู้จัก “สุทธิ อัชฌาศัย”ในฐานะของผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก  ที่ต่อสู้คัดค้าน ๗๖ โครงการอันตรายที่จะดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จนนำไปสู่การเร่งจัด ตั้งองค์กรอิสระเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะชุมชน ตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ ระบุไว้ รวมถึงการแก้ไขข้อกำหนดประเภทกิจการอุตสาหกรรมอันตราย แต่ผมเองก็เพิ่งรู้ ตอนหลังว่า  ชีวิตที่แท้จริงของพี่สุทธิ  แกเป็นชาวสวนผลไม้ ที่ได้รับจิตวิญญาณการต่อสู้เพื่อมวลชนจาก “สุวิทย์ วัดหนู”(พี่สุวิทย์ของน้องๆหลายคนในขบวนการประชาสังคม)มาตั้งแต่สมัยยัง เรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย ในยุคหนึ่งช่วง ปี๒๕๓๗ คนไทยจำนวนไม่น้อยรู้จัก “อารีวรรณ จตุทอง” หรือ “เจ๊อ้วน” ที่น่ารักของผม (ผมชอบเรียกแกว่าเจ๊)  ในฐานะที่แกเป็น “รองนางสาวไทย” แต่ต่อมาในช่วงชีวิตหนึ่งของแกผกผันอันเนื่องจากการถูกกระทำ ความรุนแรงโดยสามี(ในอดีต)ที่เป็นอันธพาลและนิยมความรุนแรง จนเป็นคดีครึก โครมบนหน้าหนังสือพิมพ์มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ วันนี้เจ๊อ้วนกลายมาเป็นนักกฎหมาย  นักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ นักวิชาการ ที่ไม่เพียงแต่ทำงานเพื่อสิทธิของสตรีแล้ว ยังทำงานในการยกระดับอีกหลาย ประเด็นความเป็นธรรม (ผมสารภาพอย่างหนึ่งว่า ผมเคยได้ยินเรื่องคดีของเจ๊อ้วนมาแต่ยังเด็กแล้ว แต่ตอนที่ผมรู้จักกับเจ๊ครั้งแรกเมื่อคราวที่ได้มาร่วมทีมรับฟังความเห็น ประชาชนเพื่อจัดทำธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติด้วยกัน ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเจ๊อ้วนเป็นใคร) ผมขอเล่ายกตัวอย่างเรื่องราวของ “คนธรรมดาที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน”ไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะมากกว่านี้คง เกินความสามารถผมที่จะเล่าแล้ว  เรื่องราวมันมีอีกเยอะมาก  แต่ทั้งหมดนี้ที่เล่ามา นอกจากผมจะหวังอยากให้สังคมไทยรู้จักคนเหล่านี้มาก ขึ้นแล้วนั้น สิ่งที่ผมคาดหวังมากกว่าคือ ผมอยากชวนทุกคนที่ได้อ่าน(ซึ่งไม่น่าจะเยอะ) ได้ตระหนักร่วมกันว่า คนเหล่านี้กลายมาเป็นอย่างในวันนี้ได้  นั่นเป็นเพราะว่าปัญหาสิทธิมนุษยชน ปัญหาความไม่เป็นธรรม เป็นปัญหาของทุกคนในสังคมร่วมกัน การต่อสู้หลายกรณีที่เราเห็นคนต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง แท้จริงเขาสู้เพื่อ สิทธิของส่วนรวม ที่เราเป็นผู้ถูกกระทำย่ำยีจากความอยุติธรรมร่วมกัน แค่ว่าเราอาจได้รับผล ของการถูกกระทำทางตรง ทางอ้อม มากน้อยต่างกันไป แต่วันนึงทุกคนอาจกลายเป็นผู้ถูกกระทำทางตรงและอย่างหนัก ได้ทั้งสิ้น จงระลึกเสมอว่า ปัญหาสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยและสังคมโลก แม้มันอาจไม่ได้เกิดขึ้นตรงหน้าคุณ….แต่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ในทุกวินาทีที่ คุณหายใจ ขออุทิศคาราวาลัยแด่นักสู้ผู้วายชนม์  และคาราวะสดุดีนักสู้ผู้ยังมีลมหายใจเพื่อมวลชนในปัจจุบันทุกท่าน

Recent posts