19 November 2025
84
ลังกาวี - สตูล / 11 พฤศจิกายน 2568 – ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุเรือที่บรรทุกผู้อพยพชาวโรฮิงญาอับปางในน่านน้ำชายแดนไทย - มาเลเซียเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพบผู้เสียชีวิตแล้ว อย่างน้อย 27 ราย และยังมีผู้สูญหายอีกหลายสิบคน ขณะที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองประเทศได้ขยายพื้นที่ค้นหาในทะเลอันดามัน
โศกนาฏกรรมครั้งนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์เรือล่มหลายครั้งที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์เดียวกัน สะท้อนถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายขึ้นอย่างรวดเร็วของชาวโรฮิงญาทั้งในรัฐยะไข่และค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ ซึ่งขาดแคลนอาหาร งบประมาณ และความช่วยเหลือจากนานาชาติ
ผู้รอดชีวิตเล่าช่วงเวลาหวิดตาย “ผมเห็นคนตายต่อหน้า”
อิหม่าม ชารีฟ ผู้รอดชีวิตรายหนึ่งเปิดเผยว่า เขาเดินทางบนเรือใหญ่เป็นเวลา 8 วัน ก่อนถูกย้ายขึ้นเรือลำเล็กที่มีผู้คนราว 70 คน และเรือก็อับปางลงในเวลาไม่นาน
“ผมเห็นคนตาย เขาจมน้ำต่อหน้าผม” อิหม่ามกล่าว ก่อนถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่มาเลเซีย
เขาเล่าว่าต้องเกาะซากเรือลอยอยู่กลางทะเลหลายวัน ก่อนคลื่นพัดเข้าสู่ชายฝั่งลังกาวี
เหตุการณ์เรือล่ม 2 ครั้งใน 3 วัน - ผู้โดยสารกว่า 300 คนเดินทางจากยะไข่
ข้อมูลจากสำนักงานทางทะเลมาเลเซียและตำรวจรัฐเกดาห์ชี้ว่า ผู้อพยพราว 300 คน เดินทางออกจากรัฐยะไข่ เมียนมา ก่อนถูกลำเลียงขึ้นเรือลำเล็ก 2-3 ลำเมื่อใกล้ถึงน่านน้ำชายแดนไทย - มาเลเซีย
เหตุล่มครั้งแรกเมื่อประมาณ 3 วันก่อน มีผู้โดยสารถึง 90 คน ยังมีผู้สูญหายจำนวนมาก
เหตุล่มครั้งที่สองซึ่งเป็นเหตุล่าสุด มีผู้โดยสารประมาณ 70 คน
จนถึงขณะนี้ เจ้าหน้าที่สามารถช่วยผู้รอดชีวิต 13 คน ในน่านน้ำมาเลเซีย พบศพในมาเลเซีย 12 ศพ พบศพในไทย 6-9 ศพ (ตัวเลขยังสับสนจากหลายหน่วยงาน)
การค้นหาจะดำเนินต่อไปจนถึงวันเสาร์ โดยไทยได้ขยายพื้นที่ค้นหาบริเวณเกาะตะรุเตา ซึ่งเป็นจุดพบศพส่วนใหญ่
เบื้องหลังการหลบหนี ความรุนแรงในยะไข่ – วิกฤติค่ายผู้ลี้ภัย ค่าหัวเรือกว่า 100,000 บาทต่อคน
เหตุเรือล่มครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายในรัฐยะไข่ ซึ่งกำลังเผชิญความขัดแย้งระหว่าง กองทัพเมียนมา และ กองทัพอาระกัน (AA) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ชาวโรฮิงญาต้องเผชิญการขาดแคลนอาหาร การบังคับใช้แรงงาน การจำกัดการเดินทาง และการกักขังโดยพลการ
ขณะเดียวกัน ค่ายผู้ลี้ภัยในค็อกซ์บาซาร์ บังกลาเทศ ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยกว่า 1.2 ล้านคน กำลังประสบปัญหาตัดงบประมาณจากนานาชาติ ส่งผลให้ที่พัก การศึกษา และความช่วยเหลือต่าง ๆ ขาดแคลนอย่างหนัก
ชาวโรฮิงญาหลายคนยอมจ่ายเงินมากกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 105,000 บาท) ให้ขบวนการลักลอบขนคน เพื่อหวังไปถึงมาเลเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมและมีโอกาสหางานได้มากกว่า แต่หลายครั้งเส้นทางนี้กลับกลายเป็นเส้นทางสู่ความตาย
UNHCR - IOM ชี้ “ปัญหาจะไม่จบ หากรากเหง้ายังอยู่”
ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงต้นพฤศจิกายนปีนี้ มีชาวโรฮิงญากว่า 5,300 คน เดินทางออกจากเมียนมาและบังกลาเทศทางเรือ และมากกว่า 600 คน ถูกแจ้งว่าตายหรือสูญหาย
แถลงการณ์ร่วมของ UNHCR และ IOM ระบุว่า “ตราบใดที่ความรุนแรงในเมียนมายังดำเนินอยู่ ผู้ลี้ภัยจะยังเสี่ยงชีวิตเพื่อแสวงหาความปลอดภัย”
ทั้งสององค์กรเสนอความช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ไทย - มาเลเซีย และเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาระดับภูมิภาคอย่างจริงจัง
แอมเนสตี้เรียกร้องอาเซียน “หยุดผลักดันเรือ - ให้ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย”
โจ ฟรีแมน นักวิจัยด้านเมียนมาของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงร้ายแรงที่ชาวโรฮิงญายังต้องเผชิญ และเรียกร้องว่า รัฐบาลมาเลเซียและไทยต้องจัด ค้นหาและกู้ภัยอย่างครอบคลุม ต้องไม่ผลักดันเรือออกจากน่านน้ำ และต้องอนุญาตให้เรือทุกลำที่บรรทุกผู้ลี้ภัย ขึ้นฝั่งในประเทศที่ใกล้ที่สุดอย่างปลอดภัย
ด้านมาเลเซียซึ่งไม่รับรองสถานะผู้ลี้ภัย ถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังมีรายงานว่าได้ผลักเรือผู้อพยพกว่า 300 คนออกน่านน้ำเมื่อเดือนมกราคมปีนี้
เหตุเรือล่มครั้งล่าสุดไม่เพียงสะท้อนวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายขึ้นในรัฐยะไข่และค่ายผู้ลี้ภัย แต่ยังตอกย้ำข้อเรียกร้องให้ภูมิภาคอาเซียนร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปกป้องชีวิตของผู้ลี้ภัยที่ยังคงต้องเสี่ยงชีวิตบนเส้นทางทะเลที่เต็มไปด้วยความตาย
อ้างอิงจาก: Reuters , Channel NewsAsia
ภาพจาก: Reuters