16 October 2025
97
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) พร้อมนักสิทธิมนุษยชนด้านผู้ลี้ภัย เดินหน้ายื่นหนังสือถึงหลายหน่วยงานรัฐ เรียกร้องให้ตรวจสอบกรณี “ดวง วาน ไถ” ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามที่ถูกอุ้มหาย และอาจถูกส่งกลับประเทศโดยไม่สมัครใจ ซึ่งอาจเข้าข่ายละเมิดหลักว่าด้วยการห้ามส่งกลับ (Non-refoulement)
ระหว่างวันที่ 14–16 ตุลาคม 2568 CrCF และนักสิทธิมนุษยชนด้านผู้ลี้ภัยเวียดนาม เข้าพบหลายหน่วยงานรัฐ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนอย่างเป็นทางการ กรณีการบังคับสูญหายและการผลักดันกลับประเทศโดยไม่สมัครใจของ นายดวง วาน ไถ (Duong Van Thai) ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามในประเทศไทย โดยมีผู้แทนจากคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists : ICJ) เข้าร่วมสังเกตการณ์
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เรียกร้องให้ทางการไทยดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริง และยืนยันความรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว ซึ่งอาจเข้าข่ายละเมิด หลักการห้ามส่งกลับไปเผชิญอันตราย (Non-refoulement) ตามกฎหมายจารีตระหว่างประเทศ และอาจขัดต่อ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยเฉพาะ มาตรา 7 (ว่าด้วยการบังคับสูญหาย) และ มาตรา 13 (ว่าด้วยการห้ามส่งกลับไปยังสถานที่ที่อาจถูกทรมาน)
CrCF ยื่น กมธ.กฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบกรณีอุ้มหาย
วันที่ 15 ตุลาคม CrCF เดินหน้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอุ้มหาย “ดวง วาน ไถ”
โดยมี นางสาวประกายดาว พฤกษาเกษมสุข รองผู้อำนวยการมูลนิธิฯ และ นางสาวเกรซ ทู จาง ถี บุ่ย (Grace Thu Trang Thi Bui) พลเมืองสหรัฐอเมริกา นักสิทธิมนุษยชนผู้เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม เป็นผู้แทนเข้ายื่นหนังสือ
ทั้งนี้ หนังสือร้องเรียนดังกล่าวได้รับโดย นางสาวชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส. ปทุมธานี พรรคประชาชน ในฐานะโฆษก กมธ. พร้อมคณะ
มูลนิธิฯ ร้องขอให้ กมธ. ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับกรณีการอุ้มหายและการผลักดันกลับประเทศเวียดนามของนายดวง วาน ไถ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม มาตรา 7 และ 13 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ปี 2565
นางสาวชลธิชา ระบุว่า กมธ. จะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและติดตามความคืบหน้าในกรณีนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนในลักษณะดังกล่าวอีก พร้อมย้ำว่ากรณีลักษณะนี้ส่งผลกระทบต่อทั้งหลักสิทธิมนุษยชน ภาพลักษณ์ของประเทศไทย และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของชาวต่างชาติในประเทศ
ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กสม. ขอสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. โดยมี นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช และ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รับหนังสือร้องเรียนจาก นางสาวประกายดาว พฤกษาเกษมสุข นางสาวเกรซ ทู จาง ถี บุ่ย และคณะ เพื่อเรียกร้องให้ กสม. ดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีดังกล่าว รวมทั้งให้รัฐบาลออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงและดำเนินการต่อกรณีการอุ้มหายผู้ลี้ภัยในประเทศไทยอย่างเปิดเผยและชัดเจน
มูลนิธิฯ ยืนยันว่าการหายตัวไปของนายดวง วาน ไถ มีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็น “การบังคับสูญหาย” และเป็นการละเมิดหลัก Non-refoulement รวมถึง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ มาตรา 7 และ 13
สำนักงาน กสม. รับเรื่องไว้พิจารณาและจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ประวัติและเหตุการณ์ก่อนการหายตัว
นายดวง วาน ไถ เป็นนักข่าวอิสระ บล็อกเกอร์ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวเวียดนาม ที่เคลื่อนไหวอย่างสันติเพื่อสิ่งแวดล้อม ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนในประเทศเวียดนาม เขาเคยเกี่ยวข้องกับ สมาคมผู้สื่อข่าวอิสระเวียดนาม (Independent Journalists Association of Viet Nam) และ ขบวนการภราดรภาพเพื่อประชาธิปไตย (Brotherhood for Democracy) ซึ่งถูกทางการเวียดนามปราบปรามอย่างหนัก
เนื่องจากถูกคุกคามจากการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน นายไถจึงลี้ภัยมายังประเทศไทยในปี 2561 และได้รับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัยจาก สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในปี 2562
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2566 พยานรายงานว่าเขาถูกชาย 4 คนบังคับขึ้นรถในพื้นที่อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ และต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2566 ครอบครัวได้รับแจ้งจากทางการเวียดนามว่าเขาถูกควบคุมตัวในเวียดนาม
เดือนตุลาคม 2567 ศาลฮานอยมีคำพิพากษาจำคุกนายไถ 12 ปี ตามมาตรา 117 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเวียดนาม ในข้อหา “โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านรัฐ”
CrCF เรียกร้องรัฐบาลไทยเปิดเผยข้อเท็จจริง
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการตรวจสอบอย่างโปร่งใส และออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ โดยเน้นย้ำว่ากรณีของนายดวง วาน ไถ เกิดขึ้นภายในเขตอำนาจของประเทศไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ตามกฎหมายในการคุ้มครองบุคคลที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ ทั้งขอให้สื่อมวลชนและสาธารณชนติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องหลักนิติธรรม อธิปไตยของประเทศ และสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
กรณีนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบสำคัญต่อหลักนิติธรรมและพันธกรณีระหว่างประเทศของประเทศไทยด้วย
ข้อมูลจาก
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม , สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา , สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ