ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

“EEC บุกปราจีนบุรี” เมื่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจใหญ่ อาจหมายถึงวิกฤติของชุมชนเล็ก

“EEC บุกปราจีนบุรี” เมื่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจใหญ่ อาจหมายถึงวิกฤติของชุมชนเล็ก

30 September 2025

51

ปราจีนบุรีกำลังเผชิญความเสี่ยงที่ดินแพง ขยะพิษทะลัก และสิ่งแวดล้อมที่สั่นคลอนจากการขยายตัวของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)...

จากแผนการพัฒนาเศรษฐกิจระดับชาติ กลายเป็นความกังวลระดับชุมชน ที่ชาวบ้านเกรงว่าจะต้องสูญเสียผืนดินและวิถีชีวิตดั้งเดิม ในขณะที่นักลงทุนและทุนใหญ่รอรับผลประโยชน์เต็มมือ

คำถามสำคัญยังคงค้างคา ใครกันแน่ที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้??

และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลกระทบที่กำลังคืบคลานเข้ามาในชีวิตผู้คนตัวเล็ก ๆ ในปราจีนบุรี??

 

ความฝันทางเศรษฐกิจที่ชาวบ้านไม่เคยขอ

กว่า 7 ปีมาแล้วที่รัฐบาลไทยเดินหน้าโครงการ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor หรือ EEC) ซึ่งถูกวาดฝันไว้ว่าเป็น ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมสมัยใหม่

แต่ขณะเดียวกัน เสียงสะท้อนจากพื้นที่จริงกลับบอกเล่าอีกด้านหนึ่ง ด้านที่เต็มไปด้วยความกังวล ความไม่มั่นคงในวิถีชีวิต และคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบว่า ใครคือผู้ได้ประโยชน์จาก EEC?

และในวันนี้ โครงการ EEC กำลังขยายตัวสู่จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดเล็กๆ ที่มีรากฐานวิถีชีวิตผูกพันกับเกษตรกรรมและผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จึงไม่ได้หมายถึงเพียงการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ยังอาจเป็นการเปลี่ยนโฉมชุมชนทั้งจังหวัดอย่างไม่อาจหวนกลับ

 

EEC คืออะไร ทำไมถูกตั้งคำถามตั้งแต่ต้นทาง?

โครงการ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ชื่อเดิมคือ โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 หรือเรียกสั้นๆ ว่า "พ.ร.บ.อีอีซี (EEC)"  มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2561 โดยครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัดหลัก ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวมเนื้อที่กว่า 8.29 ล้านไร่

สาระสำคัญของกฎหมายนี้ คือการให้อำนาจคณะกรรมการนโยบาย EEC ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สามารถกำหนดทิศทางการพัฒนา ปรับเปลี่ยนผังเมือง แก้ไขกฎหมายบางส่วน และออกสิทธิพิเศษให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติได้อย่างกว้างขวาง

แผนพัฒนาหลักของ EEC ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่

  1. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
  2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลัก
  3.  เมืองใหม่อีอีซี
  4. แผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินและการพัฒนา

รัฐชี้แจงว่า EEC จะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการดึงดูดการลงทุน สร้างงาน และเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ แต่หลายภาคส่วนกลับมองว่าโครงการนี้มีลักษณะ รัฐซ้อนรัฐเพราะให้อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง เปิดช่องให้ทุนใหญ่ได้ประโยชน์โดยตรง ขณะที่สิทธิและเสียงของชาวบ้านในพื้นที่กลับถูกลดทอน

 

ทำไมต้องเป็น ปราจีนบุรี”?

หากมองในเชิงภูมิศาสตร์ ปราจีนบุรีอาจไม่ได้อยู่ในแผนเดิมของ EEC แต่กลับถูกจับตาอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุผลสำคัญมีหลายประการ

1. ราคาที่ดิน
พื้นที่ 3 จังหวัดหลักของ EEC ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นจากกระแสเก็งกำไร นักลงทุนต้องการหาพื้นที่ใหม่ที่มีราคาต่ำกว่าและเป็นแปลงใหญ่ ปราจีนบุรีจึงถูกมองว่าเป็น ทำเลทองเนื่องจากมีการรวบรวมที่ดินโดยกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพลไว้แล้วจำนวนมาก

2. แหล่งน้ำ
ภาคอุตสาหกรรมต้องการน้ำจำนวนมหาศาล รัฐจึงมีแผนสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำใหม่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่-ทับลาน ถึง 5 แห่ง แม้ปัจจุบันปราจีนบุรีจะมีเขื่อนอยู่แล้ว 11 แห่งก็ตาม แต่เกษตรกรจำนวนมากยังไม่ได้รับประโยชน์จากน้ำเหล่านั้น ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรมกลับได้ใช้อย่างต่อเนื่อง

3. ที่รองรับกากอุตสาหกรรม
พื้นที่ EEC เดิมกำลังเผชิญวิกฤติขยะอุตสาหกรรม ส่วนเกินกว่า 3.26 ล้านตันต่อปี ต้องหาที่รองรับใหม่ และปราจีนบุรีก็กำลังถูกมองว่าเป็นจุดพักกากพิษแห่งใหม่

4. สิทธิพิเศษทางกฎหมาย
หากปราจีนบุรีถูกบรรจุเป็นพื้นที่ EEC นักลงทุนจะได้สิทธิพิเศษ ทั้งการลดหย่อนภาษี การเปลี่ยนผังเมือง สิทธิในการถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการนำเข้าแรงงานต่างด้าว

 

เมื่ออีอีซีมาเยือน ภาพอนาคตของปราจีน ฯ จะเป็นอย่างไร

หากปราจีนบุรีถูกผนวกเข้า EEC ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจแต่คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมทั้งจังหวัด

  • ผังเมืองถูกเปลี่ยนแปลง สิทธิของท้องถิ่นในการกำหนดผังเมืองอาจถูกล้มล้าง พื้นที่เกษตรกรรมอาจถูกเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรม
  • ที่ดินถูกเปลี่ยนมือ เกษตรกรจำนวนมากอาจต้องขายที่หรือถูกกดดันจากค่าเช่าที่สูงขึ้น ขณะที่นักลงทุนกว้านซื้อเพื่อเก็งกำไร
  • กิจการท้องถิ่นถูกเบียดขับ ธุรกิจรายย่อยแข่งขันยากเมื่อทุนใหญ่ครอบครองตลาด
  • แรงงานต่างชาติหลั่งไหล เกิดการแข่งขันกับแรงงานในพื้นที่ เสี่ยงต่อปัญหาสังคม อาชญากรรม และยาเสพติด
  • สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม โรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงขยะพิษและมลพิษมากขึ้น คุณภาพชีวิตของประชาชนตกต่ำ
  • ชุมชนล่มสลาย วิถีชีวิตเกษตรกรรมถูกแทนที่ด้วยสังคมอุตสาหกรรม ความสัมพันธ์ชุมชนอ่อนแอ คนหนุ่มสาวย้ายถิ่น ชุมชนสูญเสียรากเหง้า

 

ปราจีน ฯ ในวันนี้ เมื่ออุตสาหกรรมล้ำหน้ากว่า การกำกับดูแล

ความจริงคือ ปราจีนบุรีไม่ได้รอให้ EEC เข้ามาเพื่อจะเผชิญปัญหาอุตสาหกรรม เพราะทุกวันนี้จังหวัดเล็กแห่งนี้ก็กำลังเผชิญวิกฤติแล้ว

ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ก.ค. 2568) ระบุว่า ปราจีนบุรีมีโรงงาน 890 แห่ง ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ที่อำเภอกบินทร์บุรีและศรีมหาโพธิ ซึ่งมากถึง 80% ของทั้งหมด และส่วนใหญ่คือโรงงานประเภท 105 และ 106 ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกากอุตสาหกรรม

หลายโรงงานถูกตรวจพบว่าดำเนินกิจการโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการลักลอบนำขยะอันตรายมาฝังกลบ ส่งผลให้สารพิษปนเปื้อนในดิน น้ำ และอากาศ บางพื้นที่ตรวจพบสารปรอทเกินค่ามาตรฐานในลำคลอง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพของชุมชนโดยตรง

นอกจากนี้ ปราจีนบุรียังเผชิญเหตุ อุบัติภัยอุตสาหกรรม ซ้ำซาก ทั้งไฟไหม้โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โรงงานเคมีระเบิด ไปจนถึงเหตุเพลิงไหม้ในโรงงานบรรจุภัณฑ์ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำให้แรงงานบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ยังสร้างความหวาดผวาให้กับชุมชนรอบข้าง

 

ทุนจีนครองเมือง?

อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือบทบาทของ ทุนจีนในปราจีนบุรี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรีไซเคิลและการจัดการขยะอุตสาหกรรม มีการเข้ามาเช่าโรงงานเก่าที่ถูกทิ้งร้าง หรือถูกธนาคารยึด แล้วดำเนินกิจการใหม่โดยใช้ใบอนุญาตเดิม ขณะเดียวกันก็ยื่นขออนุญาตตั้งโรงงานใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองท้องถิ่น

รูปแบบเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า ใครกันแน่ที่ควบคุมอุตสาหกรรมในปราจีนบุรี? และเมื่อทุนต่างชาติเข้ามามีอิทธิพลเหนือพื้นที่ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของคนในจังหวัดจะถูกกำหนดด้วยใคร

 

ใครได้ประโยชน์ ใครเสียสละ?

คำถามที่ประชาชนจำนวนมากอยากรู้คือ “EEC เพื่อใคร?” รัฐบาลยืนยันว่าประเทศและประชาชนจะได้ประโยชน์จากการลงทุนและการสร้างงาน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในพื้นที่ EEC เดิม เสียงสะท้อนจากประชาชนกลับเต็มไปด้วยความกังวล

ในปราจีนบุรีเอง เราเห็นชัดว่ากลุ่มที่จะได้ประโยชน์โดยตรงคือ นักลงทุนรายใหญ่ ทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงกลุ่มการเมืองและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ขณะที่ประชาชนอาจต้องแลกด้วยที่ดิน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และวิถีชีวิตที่ถูกเปลี่ยนไป

 

ทางเลือกที่ถูกมองข้าม

หลายภาคประชาชนและนักวิชาการเสนอว่า การพัฒนาเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องผูกขาดอยู่ที่อุตสาหกรรมหนักหรือเขตเศรษฐกิจพิเศษเท่านั้น ปราจีนบุรีมีศักยภาพด้านเกษตรกรรมคุณภาพสูง การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก หากได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง อาจสร้างรายได้ที่ยั่งยืนโดยไม่ต้องทำลายสิ่งแวดล้อมและชุมชน

แต่คำถามคือ ทำไมเสียงของชุมชนเหล่านี้ไม่ถูกนำไปพิจารณาในกระบวนการตัดสินใจของรัฐ?

 

วันนี้ ปราจีนบุรีกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ระหว่างการถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ขยายของ EEC หรือการพัฒนาตามศักยภาพของตนเอง

โครงการ EEC อาจถูกนำเสนอว่าเป็น โอกาสทางเศรษฐกิจแต่สิ่งที่ประชาชนจำนวนมากเห็นคือ ต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาต้องจ่ายแทน และเมื่อโครงการนี้ดำเนินไปโดยปราศจากการมีส่วนร่วมจากประชาชน คำถามที่ควรถูกตั้งดังๆ ก็คือ

EEC เพื่อประเทศไทยจริงๆ หรือเพียงเพื่อกลุ่มทุนไม่กี่ราย?
และประชาชนปราจีนบุรีมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธความเจริญที่พวกเขาไม่ได้เลือกหรือไม่?

 

 

 

ที่มา :  หยุดอีอีซีปกป้องปราจีนบุรี  

Recent posts