30 November 2023
1052
ความเป็นคนขี้แพ้ คือ จะเริ่มต้นอะไรก็เห็นแต่อุปสรรค แล้วก็ตัดพ้อ ไปเรื่อยๆ แต่คนที่ขนะเสมอ มักมองอะไรเป็น โอกาส เป็น ก้าวย่าง เห็นทางออก เมื่อวานผมบอก เจ้าตาม หรือเสี่ยตาม เด็กหนุ่มที่กำลัง มุ่งมั่นสร้างฐานะให้ครอบครัว จากผืนแผ่นดินแม่ เหมือนกับหนุ่มๆ อีกหลายคนในหมู่บ้าน ผมบอกเจ้าตามว่า เราไม่มีใครคาบช้อนเงิน ช้อนทองออกมา ฉะนั้น คำว่าสู้ กับความอดทนรอ จากการลงมือทำทีละนิด จึงเป็นหนทางเดียว
การสร้างชีวิต สำหรับผม ทุกคนต้องคิดให้ชัด และมองให้ไกล คิดให้ชัดหมายถึง คิดในสิ่งที่ตัวเองทำ คิดให้ถี่ถ้วน คิดอย่างมีสติ ตอบคำถามตัวเอง อย่างมีเหตุมีผล มีข้อมูล หลักฐาน อ้างอิง จากหลายส่วน จากหลายคน เพราะปัญหาสำคัญ คือ ชาวบ้าน หรือ คนชนบท มักคิดไปตามกัน หมายถึง คนนั้นพูดมา ก็พูดๆๆๆ ต่อๆ กันมา ไม่ได้หาข้อมูล ไม่ได้ถามคนอื่นๆ แต่เชื่อสนิทใจ เชื่อฝังหัว ใครพูดไม่ฟัง ใครนำเสนอ กูเถียง ทำให้ชาวบ้าน ส่วนใหญ่ ก้าวไม่ทันโลก ตามไม่ทันทุน คิดไม่ทันคนอื่น เขาว่า วัวแพง ก็หาวัวมาเลี้ยง ไม่ดูว่า ฟางราคาเท่าไหร่ หญ้าเอาที่ไหน ต้นทุน ตั้งแต่เริ่มจนถึงขาย กี่บาท ?
เรื่องของหม่อน เมื่อวานซืน ผมอธิบายกับเจ้าตาม ไปว่า หม่อน 1 ไร่ กับ ยางพารา หรือ มันสำปะหลัง 1 ไร่ ให้ผลตอบแทน ต่างกันมาก หม่อน 1 ไร่ อย่างน้อย 300 หรือ 500 กก. ต่อรอบ ต่ำๆ ก็ 15000 – 25000 บาท ปีหนึ่งอาจจะทำผลผลิตได้ 2-3 รอบ ต่ำๆ ก็ 30000 ( สามหมื่นบาท / ไร่ ) ยางพารา สู้ไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ปัญหาคือ คุณมีความขยันมากพอไหม ?
การคิดให้ชัด หมายถึงว่า การคิดการใคร่ครวญ สารัตถะ จนจบ คิดเทียบเคียง แนวคิดอื่นๆ คิดถึงวันเวลา อายุ สังขาร การสืบทอด ไปสู่ลูกๆ คิดถึง การได้เก็บกินระยะยาว การได้ฟื้นฟู บำรุงที่ดิน ไปจนถึง สุขภาพของคนในครอบครัว
คิดให้ไกล หมายถึง ถ้าเรามีใจเป็นพ่อค้าบ้าง มีฝีมืออยูหน่อย ต้มขาย หรือ ปั่นขาย บรรจุขวด เอาแบบง่ายๆ ขายตลาดนัดแถวบ้าน จาก กก.ละ 40-50 บาท อาจจะได้ 150-200 บาท เมื่อบรรจุขวดขายเป็นน้ำหม่อน ถ้าใจหาญกล้า จดทะเบียนเป็น วิสาหกิจ หรือ บริษัท ทำไวน์ ทำแยม ทำน้ำขาย ติดแบรนด์ตัวเอง หม่อน 100 กก. ได้ไวน์ 200-300 ขวด ให้ราคาต่ำๆ สัก 250 บาท ( 200x250) เท่ากับ 50000 ( ห้าหมื่นบาท) ไม่ต้องพูดถึงว่า ถ้าหม่อน 1 ตัน ( 1000 กก.) จะเป็นเงินเท่าไหร่ ?
โลกของอินเตอร์เน็ต จากโทรศัพท์มือถือที่ทุกคนมี มันเชื่อมต่อให้ คนผลิต คนปลูก กับคนกิน คุยกันได้ตรงๆ ไม่ต้องผ่านอะไร เป็นโลกมืด หรือ ใกล้สิ้นสุดของพ่อค้าคนกลาง ยี่ปั้ว ซาปั้ว ฉะนั้น ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีกแล้ว สำหรับ เราชาวบ้านป่า บ้านนอกที่เคยอ้างว่า ไม่มีโอกาส เอื้อมไม่ถึง ขายไม่ได้ ไม่มีช่องทาง รัฐไม่สนับสนุน ฯลฯ มีแต่คนโง่ เท่านั้นที่คิดแบบนั้น ทุกวันนี้ เราอยู่ที่ไหนก็ได้ ในป่าลึกก็ไม่แปลก แค่คุณมีโทรศัพท์มือถือมีอินเตอร์เน็ต คุณขายของได้ทั่วโลกเลย!!!
โลกของทุนนิยม เป็นโลกของคนที่คิดได้ก่อน มองเห็นก่อน ลงมือก่อน ไม่ได้น่ากลัวไปทุกด้าน เพราะยังไงเราต้องอยู่กับปัจจุบัน มีแต่คนขี้แพ้ ขี้ขลาดและโง่เขลา ที่เอาแต่กลัว ไม่มองหาลู่ทาง และจ่อมจมกับการดิ้นรน ที่ไม่มีทางออก ปลูกซ้ำๆ ซากๆ จนวันหนึ่ง สังขารก็ไปไม่ได้ เจ็บป่วย และสิ้นหวัง ลูกหลานก็ไม่สืบสาน ไม่ทำต่อ ที่ดินก็ไร้คุณค่า ไม่นานก็ขายทิ้ง เปลี่ยนอาชีพ
การตั้งกลุ่ม องค์กร หรือ ทำร้าน ทำสินค้า เป็นเรื่องที่พูดมานาน แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนเดินเส้นทาง ทำวิสาหกิจ ซึ่งมีราชการ เป็นพี่เลี้ยง แต่ก็นำพาได้ไม่สุด ไม่ทะลุทะลวง เพราะข้าราชการ มีข้อจำกัด มีเวลาอยู่ด้วยไม่นาน ต้องขยับขยายไปเติบโต หรือ ก้าวหน้าขึ้นไป หรือ เกษียณ ตัวเราเอง คือที่พึ่งสำคัญ ทำตลาดให้เป็น ขายให้ได้ บริหารจัดการให้รอด
อย่างน้อยๆ ข้อกังวลของทุกคน คือ ลูกหลานจะสืบทอดไหม ที่ดินจะยังตกทอดถึงหลาน เหลนไหม เราได้วางรากฐานให้เขาได้เลือกบ้าง ถ้ารายได้ดีพอ งานไม่หนักหนา ผมว่า ลูกหลานเราเลือก และกลับมาสู่บ้านเกิด ไม่ใช่เงียบงัน และเราเกษตรกร มีหน้าที่ผลิตลูก ส่งเรียน เพื่อไปสู่ระบบ ไปทำงานที่อื่น ให้คนอื่น ไม่มีใครกลับมาแผ่นดินแม่ อีกเลย...