ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เว็บ thaingo.org จะปรับค่าบริการจากเดิม 300 บาทเป็น 500 บาท
From January 1, 2023, thaingo.org will adjust job announcement fee from 300 baht to 500 baht.

ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

ประเทศไทย: การตัดสินให้เยาวชนนักกิจกรรมมีความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ เป็นบรรทัดฐานที่น่ากังวล  

 

( ขอบคุณภาพจาก https://www.thaipost.net/x-cite-news/308900/ )

สืบเนื่องจากรายงานข่าวว่า ธนกร ภิระบัน (เพชร) เด็กผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ จากการเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงอย่างสงบขณะที่มีอายุ 17 ปี และศาลตัดสินให้คุมประพฤติตามอัตราสูงสุดเป็นเวลาสามปี โดยจะต้องอยู่ในศูนย์ฝึกอบรม  

ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่า เพชรเป็นคนแรกที่ศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ โดยตอนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาเขาเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นับเป็นบรรทัดฐานที่น่ากังวล และสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวให้กับผู้ชุมนุมประท้วงที่เป็นเยาวชนทั่วประเทศไทย ที่อาจต้องการแสดงออกด้วยการเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงโดยสงบ 

“แม้ศาลเยาวชนได้เปลี่ยนโทษ และอนุญาตให้ประกันตัว แต่คำตัดสินครั้งนี้อาจส่งผลให้เพชรต้องถูกควบคุมตัวอย่างเป็นทางการ และต้องเข้าร่วมในการฝึกอบรมภาคบังคับตามระยะเวลาของบทลงโทษ เพชรไม่ควรถูกดำเนินคดีตั้งแต่แรก เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกโดยชอบธรรม   

“คำพิพากษาว่ามีความผิดครั้งนี้ไม่เพียงบั่นทอนเวลาและทรัพยากรที่เขาอาจใช้เพื่อการศึกษาเช่นเดียวกับเยาวชนในวัยเดียวกัน หากยังส่งผลให้เขามีประวัติอาชญากร ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อโอกาสในการประกอบอาชีพและอื่นๆ   

“เยาวชนที่แสดงความเห็น ทัศนะ และความคิดอย่างสงบเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ ไม่ควรได้รับโทษจำคุก หรือถูกควบคุมด้วยมาตรการใดๆ ที่จำกัดการดำเนินงานในแต่ละวัน ทางการไทยต้องยุติการข่มขู่และสอดแนมข้อมูลผู้ชุมนุมประท้วงที่เป็นเด็ก และยุติการดำเนินคดีอาญากับพวกเขา”  

  

ข้อมูลพื้นฐาน  

ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ศาลเยาวชนและครอบครัวมีคำพิพากษาในคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์คดีแรกต่อธนกร ภิระบัน (เพชร) ซึ่งเป็นเด็กผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมผู้มีความหลากหลายทางเพศ ในวันที่ 6 ธันวาคม 2563ขณะที่มีอายุ 17 ปี เพชรได้เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงอย่างสงบที่วงเวียนใหญ่ กรุงเทพฯ ในระหว่างการชุมนุมประท้วง เพชรได้กล่าวปราศรัยเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์   

ศาลพิพากษาจำคุกเพชรเป็นเวลาสองปี ต่อมาได้เปลี่ยนโทษเป็น “การคุมประพฤติ” โดยเป็นการฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม หรือสถานที่อื่นตามที่กำหนดโดยศาล ศาลจำแนกว่า เพชรต้องถูกควบคุมตัวอย่างเป็นทางการ โดยเข้ารับการฝึกอบรมกำหนดขั้นต่ำ 1 ปี 6 เดือน ขั้นสูงไม่เกิน 3 ปี    

ศาลเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจในการเปลี่ยนโทษจำคุก และสั่งให้ “เยาวชนที่กระทำผิด” ต้องเข้ารับการฝึกอบรมเป็นระยะเวลาตามที่กำหนดโดยศาล แต่ไม่เกินกว่าระยะเวลาเมื่อจำเลยมีอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์ มาตรา 143 ของพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 อนุญาตให้ศาลสามารถกำหนดระยะเวลาการฝึกอบรมขั้นต่ำและขึ้นสูง และกำหนดให้มีการปล่อยตัว “เยาวชนที่กระทำผิด” เวลาใดก็ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว  

ปัจจุบันเพชรได้รับการประกันตัวออกมาด้วยวงเงิน 30,000 บาท  

เพชรเริ่มทำกิจกรรมตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยมศึกษาเมื่อปี 2563 โดยในขณะนั้นเพชรได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงระบบสวัสดิการด้านสังคม และความเท่าเทียมด้านการศึกษา การคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และการยุติการคุกคามด้วยกระบวนการกฎหมายต่อผู้ประท้วงอย่างสงบในประเทศไทย   

นับแต่ปี 2563 มีผู้ประท้วงอายุต่ำกว่า 18 ปีประมาณ 283 คน ที่ถูกดำเนินคดีในหลายข้อหา ส่วนใหญ่เป็นความผิดตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมีการกำหนดให้ใช้ในช่วงที่เกิดโรคระบาด และได้มีการยกเลิกในภายหลัง  

เยาวชนคนอื่นถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ยุยงปลุกปั่น และการเผยแพร่ข้อมูลที่ทางการมองว่าเป็น “ความเท็จ” โดยยังมีการดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องเกือบ 200 คดี  

ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) และ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child: CRC) สนธิสัญญาหลักด้านสิทธิมนุษยชนทั้งสองให้การคุ้มครองสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ภายใต้ข้อ 19  และ ข้อ 21 ของ ICCPR และ ข้อ 13 และ ข้อ 15 ของ CRC ตามลำดับ   

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเป็นองค์กรติดตามการนำ ICCPR ไปปฏิบัติ ได้ระบุถึงข้อห่วงกังวลต่างๆ เกี่ยวกับกฏหมายว่าด้วยการหมิ่นพระมหากษัตริย์ทั่วโลก โดยกล่าวว่า บุคคลสาธารณะทุกคน รวมถึงผู้ที่มีอำนาจสูงสุดทางการเมือง ล้วนเป็นผู้ที่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างชอบธรรม และการต่อต้านคัดค้านทางการเมือง รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันของรัฐนั้นไม่ควรเป็นเรื่องต้องห้าม   

ระหว่างกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน หรือ UPR รอบที่สามประเทศไทยได้มีข้อแนะนำจากประเทศต่างๆ เพื่อสนับสนุนสิทธิเด็กในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ รวมถึงให้หลีกเลี่ยงการคุมขังเยาวชนที่ใช้สิทธิดังกล่าวและยุติการจับกุมและดำเนินคดีต่อเด็กด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์และข้อกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความสงบของรัฐ ถ้าทางการไทยรับข้อเสนอแนะดังกล่าวจะเป็นการเสริมเสร้างความแน่วแน่ของทางการไทยต่อพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่ปัจจุบันทางการไทยยังคงไม่รับข้อเสนอแนะดังกล่าว 

 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ: press@amnesty.org