ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เว็บ thaingo.org จะปรับค่าบริการจากเดิม 300 บาทเป็น 500 บาท
From January 1, 2023, thaingo.org will adjust job announcement fee from 300 baht to 500 baht.

ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

แอมเนสตี้ ประเทศไทยยื่นจดหมายถึงรัฐบาลไทย  เรียกร้องยุติการประกาศใช้และยุติข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 

 

แอมเนสตี้ ประเทศไทย ตัวแทนนักกิจกรรมและนักวิชาการที่ถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินร่วมยื่นหนังสือและหกข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลไทยเพื่อให้ยุติการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและยุติข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เกิดจากการแสดงออกและการชุมนุมประท้วง ระบุที่ผ่านมา ข้อกล่าวหา “ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ถูกนำมาใช้ในการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมประท้วงมากที่สุด และมีอย่างน้อย 1,467 คนถูกดำเนินคดีดังกล่าว 

ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่า จากการติดตามสถานการณ์การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548  (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) และผลกระทบที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนในประเทศไทย เราพบว่า มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วถึง 19 ครั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกข้อกำหนดตามมาถึง 47 ฉบับ นับถึงเดือนมิถุนายน 2565 โดยแต่ละฉบับวางมาตรการใหม่ในการควบคุมโรคและแก้ไขเปลี่ยนแปลงมาตรการเดิม เช่น การประกาศห้ามออกนอกเคหสถานตามช่วงเวลาที่กำหนด (เคอร์ฟิว) การสั่งปิดสถานที่ การห้ามทำกิจกรรม และรวมไปถึงการสั่ง "ห้ามชุมนุม" เป็นต้น 

“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเห็นว่า การประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินและข้อกำหนดดังกล่าว เป็นการประกาศใช้ข้อบังคับในภาวะฉุกเฉินเกินความจำเป็น และส่งผลกระทบต่อสิทธิในการมีชีวิต เสรีภาพและความมั่นคงของบุคคล สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการสมาคม รวมถึงสิทธิในเสรีภาพการชุมนุมประท้วง และสิทธิมนุษยชนด้านอื่นๆ” 

“นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 -สิงหาคม 2565 หรือตลอดระยะเวลา 2 ปี ของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีอย่างน้อย 1,467 คน ใน 647 คดี ที่ถูกดำเนินคดีตามข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินจากการออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก ซึ่งมีเด็กอายุต่ำว่า 18 ปีถูกดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว 241 คน ใน 157 คดี ซึ่งการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินถือเป็นข้อกล่าวหาที่มีการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมมากที่สุด” 

ข้อมูลจาก Mob Data Thailand พบว่ามีหลายกรณีที่การชุมนุมโดยสงบ ถูกมองว่าเป็นการชุมนุมที่ขัดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจนนำไปสู่การสลายการชุมนุมทั้งหมดอย่างน้อย 50 ครั้ง (ข้อมูลจนถึงเดือนกรกฎาคม 2565) โดยเจ้าหน้าที่ใช้อุปกรณ์ทั้งกระสุนยาง แก๊สน้ำตา และรถฉีดน้ำแรงดันสูง เข้าจัดการกับผู้ชุมนุมโดยไม่เเยกแยะระหว่างผู้ชุมนุมเเละบุคคลซึ่งต้องสงสัยว่าอาจใช้ความรุนเเรง  

ตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในบางโอกาสรัฐอาจต้องใช้มาตรการที่เป็นข้อยกเว้นและชะลอการบังคับใช้สิทธิบางประการ เมื่อเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉินที่คุกคามต่อความอยู่รอดของชาติ อย่างไรก็ตาม ในการใช้มาตรการที่เป็นข้อยกเว้นต้องใช้เท่าที่จำเป็นตามความฉุกเฉินของสถานการณ์ โดยมาตรการเช่นว่านั้นต้องไม่ขัดแย้งพันธกรณีอื่นๆ ของตน ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นการเลือกปฏิบัติแห่งเชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ ทางสังคม โดยที่รัฐต้องปฏิบัติตามหลักนิติธรรมด้วยเช่นกัน 

 

ดังนั้นทาง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จึงมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยดังนี้ 

1. ยุติการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยคำนึงถึงความจำเป็น ความได้สัดส่วน และความเหมาะสมในการจำกัดหรืองดเว้นการปฏิบัติตามสิทธิที่ได้รับรองในกติกาสากลว่าด้วยสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights– ICCPR)  

2. อนุญาตเเละคุ้มครองให้บุคคลหรือกลุ่มใดๆ สามารถแสดงความเห็นของตนและสามารถชุมนุมประท้วงโดยสงบได้ในพื้นที่อย่างปลอดภัย รวมถึงรัฐมีหน้าที่ต้องอำนวยความสะดวกให้บุคคลเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงโดยสงบ เเละประกันให้บุคคลในสังคมมีโอกาสแสดงความเห็นที่สอดคล้องกับบุคคลอื่นตามสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน 

3. ยุติการดำเนินคดีอาญากับบุคคลใดๆ อันเนื่องมาจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ อันเป็นสิทธิที่พึงมีและได้รับการรับรองภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560  

4. ดำเนินการให้มั่นใจว่า เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายทุกคนที่มีหน้าที่ควบคุมฝูงชนต่างได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ทั้งในด้านกลยุทธ์และยุทธวิธีที่สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศรวมทั้งตรวจสอบการละเมิดกฎหมายทั้งภายในประเทศและการละเมิดมาตรฐานสากลอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกลาง และเป็นอิสระโดยทันที และรับรองว่าผู้กระทำผิดต้องถูกนำมาลงโทษ 

5. ประกันว่ามาตรการทั้งปวงที่นำมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการเลี่ยงพันธกรณีด้านสิทธิต้องมีเนื้อหาสอดคล้องกับข้อกำหนดในแง่การให้ข้อมูล ความถููกต้องตามกฎหมาย เเละความจำเป็น รวมถึงกำหนดให้มีกลไกตรวจสอบที่เป็นอิสระเพื่อติดตามและรายงานข้อมูลมาตรการที่นำมาใช้ 

6. พิจารณาและปรับปรุงกฎหมายพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ให้สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศและหลักความถูกต้องของกฎหมายเพื่อนำมาประกาศใช้แทน พ.ร.ก.ฉุกเฉินและรองรับบทบัญญัติที่ต่อต้านวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อประกันความรับผิดและการเยียวยาให้มีประสิทธิภาพ 

      โดยมีนายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ออกมารับจดหมายและข้อเรียกร้องของแอมเนสตี้ ประเทศไทยและเครือข่าย และในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) มี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี โดยพิจารณาความเหมาะสมการยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) และแผนปฏิบัติการควบคุมโรคโควิด-19 รองรับการเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง รวมทั้งประเมินภาพรวมแนวโน้มการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ 

 

สามารถดูรูปภาพเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้ https://www.amnesty.or.th/latest/news/1039/