Advertisement

Banner 600x250 px

Advertise with us

ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

มติ ครม. มิชอบเรื่องโครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี

มติ ครม. มิชอบเรื่องโครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี

27 July 2022

1046

 

 

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์

7 กรกฎาคม 2565

 

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ  ทำหนังสือถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมปีนี้  เพื่ออธิบายว่าคำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินที่ 1-4/2557 ของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด  จำนวนสี่แปลงที่ จ.อุดรธานี  ซึ่งนายทุนฆ่าเสือดำเจ้าของอิตาเลียนไทยถือหุ้นเป็นเจ้าของร้อยเปอร์เซ็นต์  ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยแร่และระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว  โดยพื้นที่คำขอประทานบัตรเป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้แผนแม่บทฯ พ.ศ. 2560 – 2564 มีผลใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565  รวมถึงได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 แล้ว  จึงขอเสนอผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการดังกล่าวต่อ ครม. เพื่อโปรดทราบก่อนดำเนินการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรในขั้นตอนต่อไป  และขอทบทวนเพื่อยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ด้วย  เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ได้นำแผนแม่บทฯเสนอต่อ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว  ซึ่งในการอนุญาตประทานบัตรจะพิจารณาอนุญาตได้เฉพาะในพื้นที่ที่แผนแม่บทฯกำหนดให้เป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’  มีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจและสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯแล้วเท่านั้น

.

ครม. จึงมีมติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565  ว่า  (1) รับทราบผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียโครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี  ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ  และให้ อก. รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  กระทรวงเกษตรฯ  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)  กระทรวงพาณิชย์  และกระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

.

(2) เห็นชอบให้ยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 (เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย) เฉพาะในส่วนของข้อ 2

.

(3) ให้ อก. ร่วมกับ ทส. กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โปแตชให้ถูกต้อง  เหมาะสม  คุ้มค่า  มีความโปร่งใส  เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย  และกำกับดูแลผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม  และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม  ตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ (EIA) ให้ครบถ้วน  รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง  และกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการด้วย

.

โดยสรุปของมติ ครม. ทั้งสามข้อก็คือเตรียมออก/อนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชใต้ดินทั้งสี่แปลง

.

ซึ่งสวนทางกับข้อเท็จจริงอย่างน้อยสองประเด็น  คือ

.

1. การอ้างว่าพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลง  26,446 ไร่ 1 งาน 49 ตารางวา  ซึ่งกินอาณาเขตกว้างขวางมาก  ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนคำขอตั้งแต่อยู่ภายใต้การบังคับใช้ของกฎหมายแร่ฉบับเก่าที่ถูกยกเลิกไปแล้ว (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510) เป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ตามแผนแม่บทฯที่ถูกกำหนดโดยกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560) นั้น  ถือว่าเป็นข้ออ้างที่บิดเบือน  ไม่ได้ตั้งอยู่ในข้อเท็จจริง  เหตุเพราะว่าในหลายมาตราของกฎหมายแร่ฉบับใหม่  โดยเฉพาะมาตรา 17 วรรคสี่  กำหนดไว้ชัดเจนว่า คนร. ต้องเอาพื้นที่ประเทศไทยทั้งประเทศประมาณ 320 ล้านไร่  มาจำแนกประเภทให้ชัดเจนว่าพื้นที่ไหนบ้างเป็นพื้นที่ที่ถูกหวงห้ามไม่จัดอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองที่จะนำไปขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดใด ๆ มิได้  เช่น  พื้นที่อุทยานแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ  พื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า  พื้นที่โบราณวัตถุและโบราณสถานตามกฎหมายที่ว่าด้วยการนั้น  พื้นที่หวงห้ามเฉพาะตามกฎหมายที่ว่าด้วยการนั้น  และ ‘พื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม’  และพื้นที่ไหนบ้างจัดอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง 

.

ซึ่งสอดคล้องกับคำพิพากษาชั้นต้นของศาลปกครองจังหวัดอุดรฯเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2561 ที่ชาวบ้านฟ้องในสาระสำคัญว่าการดำเนินการตามคำขอประทานบัตรทำเหมืองโปแตชใต้ดินทั้งสี่แปลงดังกล่าวได้ละเว้นหรือยังไม่ได้จัดทำ ‘รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร’ (ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่า)  ที่จะต้องไต่สวนพื้นที่คำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินที่ไม่มีประชาชนคนใดสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า  เพราะเป็นกิจกรรมที่อยู่ใต้ผืนดินลึกลงไปไม่ต่ำกว่า 160 เมตร ตามชั้นแร่โปแตชชนิดซิลไวท์ที่ถูกสำรวจพบในพื้นที่ดังกล่าว  โดยจะต้องไต่สวนประหนึ่งว่าไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรเหมืองบนผิวดิน  เพื่อชี้ให้เห็นว่ามีห้วยน้ำลำธารใต้ดินไหลไปสู่ทิศทางไหน  อย่างไรบ้าง  และมีความสัมพันธ์กับน้ำบนผิวดินอย่างไรบ้าง  (ซึ่งในข้อเท็จจริงที่เห็นอยู่เป็นประจำในหลายพื้นที่การขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดต่าง ๆ มักพบว่าการไต่สวนตามรายงานไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรหากพบว่ามีห้วยน้ำลำธารอยู่  เจ้าหน้าที่รังวัดปักหมุด/ไต่สวนมักจะหลีกเลี่ยงที่จะเขียนลงไปว่าพบ  โดยมักจะเขียนลงไปว่าไม่พบ  เพราะถ้าเขียนลงไปว่าพบก็จะทำให้ดำเนินการตามคำขอประทานบัตรต่อไปไม่ได้  และคนที่ลงนามรับรองทั้งผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน  และเจ้าหน้าที่รังวัดปักหมุด/ไต่สวน  มักถูกกล่าวหาและถูกลงโทษว่ามีความผิดอยู่เสมอในหลายพื้นที่จากการร้องเรียนและฟ้องคดีของชาวบ้าน)  ศาลปกครองชั้นต้นจึงได้พิพากษาว่าการดำเนินการตามคำขอประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินทั้งสี่แปลงมีความผิดจริง  เพราะยังไม่ได้จัดทำ ‘รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร’ จริงตามที่ชาวบ้านกล่าวหา/ฟ้องคดี 

.

แต่เนื่องจากในระหว่างพิพากษาก็ได้มีการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่  และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) หน่วยงานในสังกัด อก. ก็ได้ออกอนุบัญญัติ/กฎหมายลำดับรองจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ขึ้นมาใหม่  คือ  ‘ประกาศกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่  เรื่อง  หลักเกณฑ์  วิธีการ  และเงื่อนไขการรังวัดกำหนดเขตคำขอตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560  พ.ศ. 2562’ (เป็นประกาศฉบับใหม่เพื่อยกเลิกประกาศฉบับเก่าในชื่อเดียวกันที่ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560  ให้หลังจากพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 มีผลใช้บังคับได้เพียงแค่สองวัน)  เพื่อไม่ให้การดำเนินการตามคำขอประทานบัตรชนิดแร่ใด ๆ ก็ตามต้องจัดทำ ‘รายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร’ อีกต่อไปแล้ว  เพื่อหลีกเลี่ยงต้องไต่สวนเรื่องห้วยน้ำลำธารและที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทอื่น ๆ 

.

แต่ประกาศดังกล่าวก็ยังมีหลักการให้ต้องรังวัดปักหมุดขอบเขตคำขอโดยคำนึงถึงที่ดินเอกชน  ที่ดินรัฐ  ที่สาธารณประโยชน์ต่าง ๆ อยู่ดี  ถึงแม้จะไม่ต้องไต่สวนตามรายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตร  ก็มิอาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องรังวัดปักหมุดทับลงไปในพื้นที่ที่เป็นห้วยน้ำลำธารและที่ดินสาธารณประโยชน์ประเภทอื่น ๆ โดยไม่ใส่ใจ/ละเลยมิได้  ศาลปกครองชั้นต้นจึงได้พิพากษาให้กลับไปดำเนินการขอประทานบัตรทำเหมืองโปแตชใต้ดินทั้งสี่แปลงตามกระบวนการ/ขั้นตอนของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ให้ครบถ้วน  แปลง่าย ๆ ว่าให้กลับไปดำเนินการขอประทานบัตรใหม่ตามกระบวนการของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ตั้งแต่ต้น

.

แต่สิ่งที่ กพร. และ อก. ทำ  คือ  ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น  เพราะเนื่องจากมีการอุทธรณ์คดี  จึงยังทำให้คดียังไม่ถึงที่สุด  ในช่วงเวลาสุญญากาศนี้  กพร.,  อก. และบริษัทฯจึงยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น

.

แต่ต่อให้ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น  ก็ยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่อยู่ดี  โดยเฉพาะต้องปฏิบัติตามมาตรา 187, 188 และ 189 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า  (1) บรรดากฎกระทรวง  ประกาศ  ระเบียบ  หรือคำสั่งที่ออกตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าและพระราชบัญญัติพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ พ.ศ. 2509  ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายแร่ฉบับใหม่  (2) บรรดาคำขอทุกประเภทที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎหมายแร่ฉบับใหม่ใช้บังคับ  ให้ถือว่าเป็นคำขอตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่  แต่ให้พิจารณาดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่  และ (3) บรรดาอาชญาบัตร  ประทานบัตรหรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่า  ก่อนวันที่กฎหมายแร่ฉบับใหม่ใช้บังคับ  ให้ถือเป็นอาชญาบัตร  ประทานบัตรหรือใบอนุญาตตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่ยังคงใช้ได้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน  โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่  ตามลำดับ  ซึ่งมีหลักเกณฑ์  วิธีการและเงื่อนไขใหม่ ๆ ให้ต้องปฏิบัติตาม 

.

ดังนั้น  การอ้างว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่แล้วโดยบิดเบือนว่าพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลงเป็น ‘เขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง’ ตามแผนแม่บทฯซึ่ง ครม. ได้มีมติเห็นชอบแล้วนั้น  เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง  เพราะข้อเท็จจริงก็คือ อก. และ กพร. ได้ยกคำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลงที่ขอไว้ตั้งแต่กฎหมายแร่ฉบับเก่าใช้บังคับเอามาอยู่ในเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองโดยที่ยังไม่ได้จำแนกพื้นที่ตามหลักวิชาการที่กำหนดไว้ในมาตรา 17 วรรคสี่และมาตราอื่น ๆ ของกฎหมายแร่ฉบับใหม่แต่อย่างใด 

.

ซึ่งการจำแนกพื้นที่ตามหลักวิชาการที่กำหนดไว้ในมาตรา 17 วรรคสี่  รวมถึงมาตราอื่น ๆ ของกฎหมายแร่ฉบับใหม่  คือเรื่องเดียวกับที่ศาลปกครองชั้นต้นได้พิพากษาไว้นั่นเอง  นั่นคือ  จะต้องนำพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลงมาจำแนกให้ได้ว่าพื้นที่ไหนบ้างมีห้วยน้ำลำธารที่ไหลอยู่ใต้ผิวดิน (ระบบน้ำใต้ดิน) สัมพันธ์เชื่อมโยงกับระบบน้ำบนผิวดิน 

.

หรือจำแนกให้ได้ว่าพื้นที่ตามคำขอประทานบัตรทั้งสี่แปลงพื้นที่ไหนบ้างเป็นแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมที่จะต้องถูกกันออกจากการเป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองที่จะนำมาขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชมิได้ 

.

2. การอ้างว่าได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 แล้ว  ยิ่งบิดเบือนมากยิ่งขึ้นไปอีก  เพราะข้อเท็จจริงในพื้นที่มีแต่ความขัดแย้งที่เกิดจากการกระทำของบริษัทฯและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง  และยังมี อบต. ในพื้นที่บางแห่งที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับโครงการทั้งโดยวาจาและลายลักษณ์อักษรส่งไปถึงส่วนราชการต่าง ๆ  ซึ่งเป็นหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการขอประทานบัตรตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าและฉบับใหม่  แต่ก็ยังถูกละเลย/ละเว้น/เพิกเฉยจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง  ปล่อยให้มีการขอประทานบัตรกระโดดข้ามหรือลัดขั้นตอนหน่วยงานท้องถิ่นไปเสีย

.

ทุก ๆ เวทีที่เกิดขึ้นตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาในการผลักดันโครงการนี้  บริษัทฯและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัดและกรมกองของ อก. จะทำทุกวิถีทางในการต้อนคนทั้งที่เห็นด้วยและไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาลงชื่อ  นั่งกันอยู่เฉย ๆ สามชั่วโมงตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงเที่ยงโดยไม่มีปากมีเสียง/แสดงความคิดเห็นอะไร (เพื่อให้ครบเวลาที่หน่วยงานราชการระบุไว้ว่าการจัดเวทีต้องจัดอย่างน้อยสามชั่วโมง  แต่กลับไม่ระบุว่าในสามชั่วโมงนั้นต้องเสนอและต้องได้เนื้อหาอะไรกลับมาบ้าง  และไม่ระบุว่าในเวทีต้องมีสัดส่วนของผู้เห็นต่างด้วยจึงจะครบองค์ประกอบ/องค์ประชุม)  และทำทุกวิถีทางในการกันคนเห็นต่างไม่ให้เข้าร่วมเวที  แม้ต้องใช้กำลังตำรวจพร้อมอุปกรณ์คุมฝูงชนและ อส. หลายร้อยนายก็ตาม  ถึงขั้นที่ในยุครัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. จัดเวทีในห้องประชุมเทศบาล/อบต. ในพื้นที่ไม่ได้ก็เข้าไปจัดในค่ายทหารแทน

.

ทั้ง ๆ ที่โครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานีครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่มาก  เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก  จำเป็นต้องคำนึงถึงทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน  ทั้งด้านเทคโนโลยี  สิ่งแวดล้อม  สังคม  วัฒนธรรม  สุขภาพและเศรษฐกิจ  เพื่อที่จะต้องทำทุกวิถีทางในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน  คุณภาพชีวิต  การมีสุขภาพอนามัยที่ดีของประชาชนและเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน  แต่เวทีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมากลับสร้างความเข้าใจและการรับรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ 

.

ซึ่งเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ที่กันผู้เห็นต่างซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงที่ถูกระบุไว้ในกฎหมายแร่ทั้งฉบับเก่าและฉบับใหม่ออกไปด้วย  เป็น 15 เปอร์เซ็นต์ของผู้เห็นด้วยและผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับโครงการฝ่ายเดียวเท่านั้น

.

ในมติ ครม. ฉบับนี้28 มิถุนายน 2565  จะเห็นได้ชัดถึงความละอายของกระทรวงอุตสาหกรรม  กพร.  และ ครม. ประยุทธ์ที่ไม่สามารถจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ได้จริง  จึงมีมติให้ยกเลิกมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 (เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย) เฉพาะในส่วนของข้อ 2 เสียเลย  เพื่อลบล้างผลผูกพันที่เกรงว่ากระทรวงอุตสาหกรรม  กพร.  และ ครม. ประยุทธ์จะถูกดำเนินการร้องเรียนและฟ้องคดีจากประชาชนเพื่อเอาผิดในอนาคตได้

.

นี่คือเนื้อหาที่ระบุไว้ในมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 (เรื่อง รายงานข้อมูลข้อเท็จจริงกรณีโครงการทำเหมืองแร่โปแตชในประเทศไทย) เฉพาะในส่วนของข้อ 2  ดังนี้  “ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการชี้แจงทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่โปแตชในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน  ผลดีและประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการนี้ในอนาคต  และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการข้างต้นต่อคณะรัฐมนตรีโดยจะต้องมีความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป”

.

ในเนื้อหาของมติ ครม. ก็บอกไว้ชัดเจนว่าไม่เพียงชี้แจงทำความเข้าใจ  แต่จะต้อง ‘สร้างการรับรู้’ ให้แก่ประชาชนด้วย  ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากจากบริษัทฯและส่วนราชการในการสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก  อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งสองประการ  คือ  ‘ชี้แจงทำความเข้าใจ’ และ ‘สร้างการรับรู้’

.

แต่สิ่งที่บริษัทฯและส่วนราชการทำกลับบิดเบือนความเข้าใจและบิดเบือนความรับรู้ของประชาชนในพื้นที่  มุ่งแต่ปั่นหัวผู้เห็นด้วยจำนวนน้อยให้เกลียดชังผู้เห็นต่าง  และเกณฑ์คนผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกจำนวนหนึ่งขึ้นมาแล้วอ้างว่าเป็นผู้ที่เห็นด้วยกับโครงการแล้ว  จึงเกิดเป็นการสร้างความขัดแย้งขึ้นมาแทน

Recent posts