16 February 2022
748
เมียนมา: ประชาคมโลกต้องจัดการในทันทีเพื่อหยุดช่วงเวลาแห่งความตายและความทุกข์ยากที่ไม่อาจทนต่อไปได้
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลแถลงเนื่องในวาระก่อนครบหนึ่งปีของการทำรัฐประหารในเมียนมา 1 กุมภาพันธ์ 2564 ระบุ หากประชาคมระหว่างประเทศยังคงประวิงเวลา ไม่จัดการกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งรวมไปถึงการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมประท้วงจนทำให้เกิดการเสียชีวิตในปีที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากจะต้องทนทุกข์ทรมาน และวิกฤตด้านสิทธิมนุษยชนเช่นนี้อาจจะเลวร้ายลงไปอีก
มิงยู ฮาห์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานภูมิภาคฝ่ายรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า พอกันที ประชาชน 55 ล้านคนของเมียนมาจะต้องไม่เผชิญกับอีกหนึ่งปีที่รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกพากันปัดความรับผิดชอบและนิ่งดูดาย ต้องมีปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรมโดยทันที เพื่อเอาผิดกับกองทัพ และเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าถึงอาวุธที่ถูกนำไปใช้เพื่อปฏิบัติการมิชอบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ไม่เช่นนั้น ความตายและความทุกข์ยากในเมียนมาที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารจะยังดำรงอยู่ต่อไป
"ในโอกาสใกล้วาระครบรอบหนึ่งปีของรัฐประหาร กองทัพได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตในภาคตะวันออกเฉียงใต้ มีการขัดขวางการเข้าถึงความช่วยเหลือ และยังคงปฏิบัติการนองเลือดเพื่อโจมตีนักกิจกรรมและผู้สื่อข่าว ซึ่งมีทั้งที่ถูกควบคุมตัวและสังหารระหว่างการควบคุมตัว รัฐบาลหลายประเทศยังคงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เพิกเฉยต่อการทารุณกรรมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งเหมือนกับครั้งที่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อชาวโรฮิงญา ส่งผลให้กองทัพปฏิบัติการอย่างไร้ความละอายมากขึ้น กระทำการโดยไม่ต้องรับผิดในระหว่างการกวาดล้างฝ่ายต่อต้านการปกครองของตน
"ประชาชนชาวเมียนมาอยู่ในภาวะสิ้นหวัง และเริ่มตระหนักถึงความจริงเกี่ยวกับความช่วยเหลือจากนานาชาติ มีขั้นตอนที่ชัดเจนเพื่อการดำเนินงานเพื่อขัดขวางไม่ให้กองทัพเมียนมาปฏิบัติการที่โหดร้ายและมุ่งประหัตประหารได้ต่อไป คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติต้องหยุดประวิงเวลา และต้องประกาศใช้มาตรการห้ามซื้อขายอาวุธระดับโลก และใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อผู้นำกองทัพ และจะต้องส่งกรณีของเมียนมาเข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน
"นอกจากนั้น บริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับกองทัพ หรือหน่วยงานธุรกิจของกองทัพ ต้องถอนตัวออกมาเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้กองทัพมีรายได้ที่นำไปใช้ในปฏิบัติการเข่นฆ่าประชาชนต่อไป
"ในภูมิภาคนี้ สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ต้องทำหน้าที่อย่างมีเอกภาพต่อกรณีเมียนมา และเรียกร้องให้กองทัพยุติการใช้ความรุนแรงกับพลเรือนโดยทันที อาเซียนยังควรกดดันกองทัพให้ยุติการปิดกั้นการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และขยายเนื้อหาและดำเนินการตามฉันทามติห้าข้อที่มีกรอบเวลาชัดเจน และมีการรับรองเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมายังคงมีแต่ความล้มเหลว
"ในปีใหม่นี้ ต้องมีการเปลี่ยนแนวทางเพื่อจัดการกับเมียนมา โดยให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนของประชาชนชาวเมียนมา ต้องมีการตรวจสอบเพื่อหาคนมารับผิดชอบต่อผลการการกระทำของตัวเอง และต้องไม่เพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิและปฏิบัติการมิชอบที่เกิดขึ้นในเมียนมาอีกต่อไป"
ข้อมูลพื้นฐาน:
กองทัพเมียนมายึดอำนาจโดยการทำรัฐประหารช่วงเช้ามืดของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 นับแต่นั้นมา กองทัพได้สังหารประชาชนกว่า 1,400 คน และจับกุมกว่า 11,000 คน โดยปัจจุบันยังมีผู้ถูกควบคุมตัวอยู่อีกกว่า 8,000 ตามข้อมูลของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง ความรุนแรงที่น่าตกใจเช่นนี้สอดคล้องกับแบบแผนอาชญากรรมที่เคยเกิดขึ้นและมีการบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศที่กระทำต่อชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ ในประเทศ รวมทั้งชาวคะฉิ่น ฉาน และโรฮิงญา
ก่อนหน้านี้คณะสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีเมียนมาขององค์การสหประชาชาติ เรียกร้องให้พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ ต้องเข้ารับการสอบสวนและดำเนินคดีในข้อหาอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
อองซาน ซูจี อดีตผู้นำพลเรือนได้ถูกศาลตัดสินจำคุกหกปีในข้อหาที่กุขึ้นมา และอาจได้รับโทษจำคุกกว่า 100 ปี หากศาลตัดสินว่ามีความผิดในทุกข้อหาที่เหลือ ผู้ใกล้ชิดหลายคนของเธอ รวมทั้งประธานาธิบดีวิน มยินต์ ได้ถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาที่กุขึ้นมาแบบเดียวกัน
ภายหลังการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อผู้ประท้วงอย่างสงบ ฝ่ายต่อต้านกองทัพได้ก่อตั้งกองกำลังป้องกันประชาชน ซึ่งอ้างว่าได้สังหารทหารหลายร้อยนาย ทั้งการยิงปืน การใช้ระเบิด และการซุ่มยิง
นอกเหนือจากความโกลาหลที่เกิดขึ้นกับหลายเมืองใหญ่และเมืองเล็กทั่วประเทศภายหลังการทำรัฐประหาร ความไม่มั่นคงด้านเศรษฐกิจและอาหาร รวมทั้งปัญหาท้าทายจากการระบาดครั้งใหญ่ (ของโรคโควิด-19) ส่งผลให้ประชาชนหลายล้านคนประสบความอดอยาก อีกหลายแสนคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นในประเทศ และอีกหลายพันคนต้องหลบหนีข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย
เว็บไทยเอ็นจีโอ สนับสนุนการใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์และเผยแพร่แนวคิดวัฒนธรรมเสรี เนื้อหาในเว็บไซต์ไทยเอ็นจีโอดอทโออาจี ท่านสามารถเอาไปใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต เพียงท่านระบุที่มาและห้ามทำการค้า
ติดต่อประสานงาน - Contact
: 099-014-3797
ทศพร แกล้วการไร่ : ผู้ดูแลเว็บ - Webmaster
: 080-078-4016
อัฎธิชัย ศิริเทศ : บรรณาธิการ - Editor
: 082-178-3849
: webmaster@thaingo.org
: Mon-Fri , 9.00-17.00
2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
2044/23 New Phetchaburi Road, Bangkapi, Huai Khwang, Bankok 10310
+662 314 4112