Back

ในสถานการณ์โควิด 19  สิทธิและเสรีภาพไม่ควรหายไปจากการพัฒนาในสถานการณ์โควิด 19  สิทธิและเสรีภาพไม่ควรหายไปจากการพัฒนา

16 June 2020

1887

ในสถานการณ์โควิด 19  สิทธิและเสรีภาพไม่ควรหายไปจากการพัฒนาในสถานการณ์โควิด 19  สิทธิและเสรีภาพไม่ควรหายไปจากการพัฒนา

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์

13 พฤษภาคม 2563

 

 

องค์ประกอบของการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย  เพราะมีเงื่อนไข  หลักเกณฑ์  คุณสมบัติของผู้ลงทุน  ตามกฎหมายใหม่ ๆ เข้ามาร่วมเป็นองค์ประกอบอยู่เสมอ  โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ  เพื่อให้สอดคล้องต่อความต้องการ  ความปรารถนา  ที่เป็นไปในแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตส่วนบุคคลและสังคมให้ดีขึ้น

         

ในโลกสมัยใหม่ที่กำลังดำเนินอยู่นี้  รัฐบาลส่วนกลาง  ภูมิภาคและท้องถิ่นที่ใช้อำนาจรัฐแทนประชาชนไม่สามารถดำริและผลักดันการพัฒนาเพียงฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป  กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อนำเสนอ  แสดงความเห็น  ตรวจสอบและคัดค้านการพัฒนาต่าง ๆ  มีความสำคัญในแง่ที่จะทำให้บ้านเมืองตั้งอยู่บนครรลองของการใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรม  ซึ่งตรงกันข้ามกับการตั้งอยู่บนครรลองของการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือและข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมที่ขัดต่อหลักนิติธรรม

 

อย่างน้อยที่สุด  หลักนิติธรรมก็ได้สร้างพันธะสัญญาต่อกัน  ระหว่างรัฐกับประชาชน  เพื่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งประกันซึ่งสิทธิและเสรีภาพของประชาชน  ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมบริหารจัดการและพัฒนาบ้านเมือง  จึงเป็นความเหมาะสมที่หลักนิติธรรมจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการพัฒนาในโลกสมัยใหม่  หากปราศจากหลักนี้แล้วก็เป็นการพัฒนาที่ไม่สอดคล้องเหมาะสม  ไม่ถูกทำนองคลองธรรม  เท่าที่ควร

 

การประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548  หรือ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน  เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโรคโควิด 19  มีอำนาจที่ล้นเกินไปกว่าการควบคุมโรคปรากฎออกมาให้เห็น  นั่นคือ  มาตรการต่าง ๆ ที่จะทำให้ประชาชนไม่รวมตัวกันและเว้นระยะห่างทางสังคม  ไม่ว่าจะเป็นการขอให้กักตัวอยู่กับบ้านหรือที่พักอาศัยในเวลาปกติ  และบังคับให้อยู่กับบ้านหรือที่พักอาศัยเวลาเคอร์ฟิว  การกักกัน  การหยุดบริการรถขนส่งมวลชนทั้งในและระหว่างเมือง  การห้ามเดินทางข้ามจังหวัด  การหยุดประกอบอาชีพการงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเภท  การงดเว้นจัดประชุม  สัมมนา  หรือกิจกรรมต่าง ๆ  ฯลฯ  ในด้านการควบคุมโรคก็ส่งผลดีพอสมควรต่อการระงับยับยั้งการแพร่กระจายโรคไม่ให้ลุกลามออกไปจนควบคุมไม่อยู่  แต่อีกด้านหนึ่งกลับสร้างผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อสิทธิและเสรีภาพโดยชอบธรรมในการเคลื่อนไหวของประชาชน  เพื่อแสดงความคิดเห็น  และชุมนุมเรียกร้อง  ประท้วง  ขัดขืน  คัดค้าน  หรือการแสดงออกอื่นใดก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับการพัฒนา  นโยบาย  กฎหมายหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา

 

ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน  และโดยชอบธรรม  อันเป็นเครื่องมือ  กลไกและวิธีการสำคัญในการสร้าง ‘พลังพลเมือง’ ให้กับประชาชน  เพื่อเข้าไปลดอำนาจ  ตรวจสอบ  กำกับ  ควบคุม  มีส่วนร่วมกับรัฐและเอกชนที่ผลักดันการพัฒนา  นโยบาย  กฎหมายหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา  ที่ก่อผลกระทบและไม่เป็นธรรมทั้งหลาย  ให้เกิดการระงับ  ยับยั้ง  ชะลอ  ยกเลิก  ปรับปรุง  แก้ไข  เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น 

 

ในขณะที่เครื่องมือ  กลไกและวิธีการของพลังพลเมืองต้องหยุดชะงักภายใต้การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน  แต่กลไกรัฐกลับผลักดันการพัฒนา  นโยบาย  กฎหมายหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาออกมาอยู่ตลอดเวลา  ซึ่งเป็นการผลักดันการพัฒนาที่สวนทางกับคุณค่าของโลกสมัยใหม่ที่ต้องคำนึงถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนอยู่เสมอ

 

มีการนำวิกฤติการณ์จากโรคโควิด 19 มาผสมโรง  ฉวยโอกาสและเป็นข้ออ้างในการผลักดันการพัฒนา  นโยบาย  กฎหมายหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหลายเรื่อง  เพื่อหวังจะอนุมัติงบประมาณได้ง่ายขึ้น  หรือลด  ลัด  ตัดขั้นตอนการมีส่วนร่วมของประชาชนออกไป 

 

บางเรื่องเป็นโครงการที่มีอยู่ก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19  ที่สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง  แต่กลับเอาโรคโควิด 19 มาผสมโรง  เช่น  การเร่งรัด ‘โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก’ ของกระทรวงพลังงาน  ที่เปิดช่องให้เอกชนยื่นเสนอขายไฟฟ้าเข้าระบบก่อน  โดยให้รับฟังความเห็นจากชุมชนหลังมีการอนุมัติโครงการได้  โดยอ้างว่าเป็นแผนการที่สอดรับกับการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ของรัฐบาล  ที่ผ่อนผันให้ไม่ต้องรับฟังความเห็นจากชุมชนก่อน  เมื่อได้รับการพิจารณาอนุมัติแล้วจึงค่อยไปดำเนินการภายหลัง

 

บางเรื่องแม้ไม่ได้เอาโรคโควิด 19 มาอ้าง  แต่ก็ปล่อยให้การพัฒนาเดินหน้าต่อไปอย่างเอาเปรียบประชาชน  โดยปิดตายช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชน  และขาดซึ่งสิทธิและเสรีภาพในการเคลื่อนไหว  เช่น  การปล่อยให้มีการทำเหมืองหินปูนบนภูผาฮวก  ในพื้นที่ตำบลดงมะไฟ  อ.สุวรรณคูหา  จ.หนองบัวลำภู ต่อไป  และการทำเหมืองชนิดอื่น ๆ ต่อไปในหลาย ๆ พื้นที่ที่มีประชาชนคัดค้าน  แต่ไม่สามารถใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อการนั้นได้  เพราะเกรงความผิดตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน  หรือถึงออกมาเคลื่อนไหวได้บ้าง  ก็ไม่สามารถสร้างพลังต่อรองได้มากนัก  เพราะไม่สามารถปฏิบัติการให้เกิดการชุมนุมเรียกร้องที่ต้องรวมตัวกันอย่างมีพลังได้มากนัก  เพราะติดเงื่อนไขการเว้นระยะห่างทางสังคมตามสำนึกรับผิดชอบของประชาชนเอง  และตามความผิดของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน

 

จนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ได้ทำการรณรงค์ออนไลน์ ‘ล็อคดาวน์เหมืองแร่  หยุดฉวยโอกาสให้สัมปทานเหมือง’  และยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้หยุดการให้สัมปทานเหมืองต่าง ๆ เอาไว้ก่อน  เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา  จนกว่าจะผ่านพ้นสถานการณ์โควิด 19  เพื่อเปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาร่วมกับรัฐและเอกชน  และมีสิทธิและเสรีภาพเพื่อแสดงความคิดเห็นและชุมนุมสาธารณะในการสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐและเอกชน  ได้ดีกว่านี้  แต่พื้นที่โครงการทำเหมืองแร่โปแตชและโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน  พื้นที่หนึ่งของการรณรงค์นี้  ก็ยังมิวายโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรหัวทะเล  ต.หัวทะเล  อ.บำเหน็จณรงค์  จ.ชัยภูมิ  ข่มขู่บังคับโดยพาตัวไปกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ที่สถานีตำรวจ  และบังคับให้รับสารภาพว่าได้อ่านแถลงการณ์ล็อคดาวน์เหมืองแร่ฯบนพื้นที่สาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมสาธารณะตามกฎหมายก่อน  รวมถึงข่มขู่ว่าจะดำเนินการเอาผิดตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน  และ พ.ร.บ. โรคติดต่อ  โทษฐานฝ่าฝืนมาตรการควบคุมโรคโควิด 19 ตามสองกฎหมายนี้ด้วย 

 

บางเรื่องก็ตั้งใจฉวยโอกาสกลั่นแกล้งประชาชนให้ได้รับทุกข์สาหัสทางเศรษฐกิจยิ่งขึ้นไปอีก  ท่ามกลางสถานการณ์โควิด 19 ที่ห้ามกิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมากเสียจนประชาชนหลายล้านคนต้องตกงาน  ถูกหยุดงาน  ถูกชะลองาน  ถูกพักงาน  ขายของไม่ได้  ฯลฯ  ทำให้ขาดแคลนกำลังซื้อหาอาหาร  ของกินของใช้  สิ่งอำนวยความสะดวก  และปัจจัยยังชีพในชีวิตประจำวัน  ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อให้ชีวิตตัวเองและครอบครัวอยู่รอดให้ได้  เช่น  การระดมพลจากเจ้าหน้าที่ กทม. และบริษัทรับเหมาเตรียมเข้าไล่รื้อถอนแผงลอยที่ตลาดลาว คลองเตย  ทั้ง ๆ ที่อยู่ระหว่างการเจรจามาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา (สุดท้าย  ตัวแทนผู้ค้าขายได้พากันยื่นจดหมายอุทธรณ์  จน กทม. ได้ประกาศชะลอการรื้อย้ายในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ออกไปก่อน)   

 

‘โครงการกำแพงกันคลื่น’  ความยาว 710 เมตร  ของกรมโยธาธิการและผังเมืองที่เร่งดำเนินการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมชายหาดม่วงงาม  อ.สิงหนคร  จ.สงขลา  เพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งและปรับปรุงภูมิทัศน์ริมชายหาดม่วงงาม  ก็เริ่มมีการตอกเสาเข็มลงไปบนชายหาด  โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นด้วย  เนื่องจากชายหาดม่วงงามไม่มีการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด  ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ฉวยโอกาสจากสถานการณ์โควิด 19  เพื่อเร่งรัดงบประมาณ  และตัดขั้นตอนการมีส่วนร่วมของประชาชนออกไป

 

‘โครงการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ’  ภายใต้โครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต  ที่ทะเล อ.จะนะ จ.สงขลา  ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เร่งดำเนินการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่  ระหว่างวันที่ 14 – 20 พฤษภาคมนี้  ซึ่งเป็นช่วงเวลาการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน  ก็เพื่อตัดขั้นตอนการมีส่วนร่วมของประชาชนซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาโครงการนี้ออกไป  เหตุเพราะว่ามีกลุ่มทุนกว้านซื้อที่ดินเพื่อรองรับโครงการนี้ไว้เกือบหมดแล้ว  จึงต้องทำให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไปโดยไร้อุปสรรคขัดขวางจากประชาชนในพื้นที่ให้ได้ 

 

ล่าสุด  การเร่งรัดโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา  เยียวยา  และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม  ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563  โดยมีสาระหลัก  คือ  ให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ เร่งจัดทำแผนงานหรือโครงการเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้  โดยแบ่งเป็นแผนงาน/โครงการต่าง ๆ สามด้าน  สองด้านแรกเกี่ยวกับโรคโควิด 19 โดยตรง  ค่อนข้างพลิกแพลงยาก  คือ  ด้านการแพทย์และสาธารณสุข  และด้านช่วยเหลือเยียวยา  แต่ด้านที่สามน่าจะมีปัญหาสุด  คือ  ด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบ  เพราะกินความกว้างขวาง  จึงคาดได้ว่ากระทรวงต่าง ๆ น่าจะไปเก็บเอาโครงการที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด 19 มาเสนอเต็มไปหมด  ไม่เว้นแม้กระทั่งโครงการต่าง ๆ ที่กล่าวไปแล้ว  เช่น  ‘โครงการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ’  ภายใต้โครงการจะนะเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต  ที่ทะเล อ.จะนะ จ.สงขลา  เป็นต้น   

 

หรืออาจจะมีโครงการหน้าตาแปลก ๆ เชื่อมโยงเข้าหากันระหว่าง  ‘ภัยแล้ง - โควิด 19’  และ  ฝุ่นพิษจาก ‘ฝุ่น PM 2.5 - โควิด 19’  เพื่อกลบเกลื่อนความล้มเหลวของการบริหารกิจการบ้านเมืองของรัฐในสองเรื่องดังกล่าว  ตลอดช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา  ที่ซ้อนทับกับช่วงเวลาของการรับมือการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 พอดิบพอดี  ที่รัฐปล่อยปละละเลยเสียจนทำให้หลายพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคในบ้านเมืองต้องประสบวิกฤติรุนแรงจากภาวะภัยแล้งและฝุ่นพิษจากฝุ่น PM 2.5    

 

นี่คือสิ่งเลวร้ายจากการพัฒนาที่เกี่ยวพันกับชีวิตประชาชน  ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  ถ้าไม่ใช่เรื่องผลกระทบด้านลบที่คนในพื้นที่ต้องแบกรับด้วยการแลกกับสุขภาพ  คุณภาพชีวิต  สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตที่เสื่อมโทรมลง  ก็เป็นเรื่องภาระผูกพันด้านงบประมาณแห่งรัฐที่ใช้ประชาชนเป็นตัวประกันในการกู้เงิน  และประชาชนอย่างเรา ๆ ต้องรับผิดชอบใช้หนี้เงินกู้ไปจนชั่วลูกชั่วหลาน  ด้วยการที่รัฐต้องผลักดันนโยบาย  กฎหมายและโครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่ควบคุม  รวมศูนย์และผูกขาดทรัพยากรประเภทต่าง ๆ,  ลดการช่วยเหลือด้านสวัสดิการต่าง ๆ,  และลิดรอนสิทธิ  เสรีภาพและรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของประชาชนมากยิ่ง ๆ ขึ้น  เพื่อเป็นพันธะสัญญาหรือหลักประกันต่อเจ้าหนี้ว่าทรัพยากรประเภทต่าง ๆ ที่ผูกขาดไว้  สามารถนำไปส่งเสริมและสนับสนุนให้สัมปทานแก่เอกชน  หรือนำไปแปรรูปให้เอกชนเข้ามาครอบครองกิจการแทนรัฐวิสาหกิจ  ได้อย่างกว้างขวางและเต็มกำลัง (ดังเช่น  เงื่อนไขหนึ่งของการกู้เงินจากธนาคารโลกในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540  คือการเร่งรัดผลักดันให้เกิดการแปรรูปน้ำจากหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ  และเร่งรัดออกกฎหมายน้ำ  เพื่อเปิดให้เอกชนเข้ามาค้าขายทำกำไรในกิจการน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคให้มากขึ้น),   เงินที่ดึงมาจากการเก็บไว้ใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการทั้งหลายของประชาชน  จะถูกนำมาชดใช้หนี้ให้อย่างแน่นอน,  และสิทธิ  เสรีภาพและความเป็นส่วนตัวของประชาชนที่ถูกจำกัดหรือรุกล้ำมากขึ้นโดยรัฐ  จะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาใด ๆ เพื่อนำเงินและสินทรัพย์มาชดใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อย่างแน่นอน 

 

สุดท้ายนี้  สิ่งที่รัฐต้องทำในสถานการณ์โควิด 19  คือ   ‘รักษาชีวิตกับสิทธิและเสรีภาพ’ ควบคู่ไปด้วยกัน  โดยที่มาตรการล็อคดาวน์  การกักกัน  รวมถึงมาตรการอื่น ๆ เพื่อควบคุมและต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ควรดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มงวด  ดังนั้นแล้ว  การพัฒนาไม่ควรมาพร้อมกับข้ออ้างความเจริญทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว  หรือไม่ควรมาพร้อมกับข้ออ้างการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด 19 เพียงอย่างเดียว  แต่ควรมาพร้อมกับปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วย  เพราะสิทธิและเสรีภาพอยู่เป็นเนื้อเดียวกับการพัฒนามาเนิ่นนานแล้ว

 

หากปฏิบัติไม่ได้  ก็ควรหยุด  ระงับ  ยับยั้ง  ชะลอ  การพัฒนา  นโยบาย  กฎหมายหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเอาไว้ก่อน  อย่างน้อยที่สุด (แม้ไม่อยู่ในสถานการณ์ของโรคโควิด 19  ธรรมชาติของรัฐ  ไม่ว่ารัฐแบบใด  ก็พยายามใช้อำนาจเพื่อทำลายหรือลดทอนสิทธิและเสรีภาพในการพัฒนามาโดยตลอด  เช่น  ในยุครัฐประหาร 2557  ที่ประกาศใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558  และกฎหมายชุมนุมสาธารณะ  เพื่อปิดกั้นและกดปราบสิทธิและเสรีภาพและการมีส่วนร่วมของประชาชนออกไปจากกระบวนการพัฒนา)  ก็จนกว่าสถานการณ์โรคโควิด 19 จะคลี่คลาย  ควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างชัดเจนแล้ว  และจนกว่าจะยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไปเสียก่อน.

 

 

 

About Us

เว็บไทยเอ็นจีโอ สนับสนุนการใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์และเผยแพร่แนวคิดวัฒนธรรมเสรี เนื้อหาในเว็บไซต์ไทยเอ็นจีโอดอทโออาจี ท่านสามารถเอาไปใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต เพียงท่านระบุที่มาและห้ามทำการค้า

ThaiNGO Team

ติดต่อประสานงาน - Contact
Tel : 099-014-3797

ทศพร แกล้วการไร่ : ผู้ดูแลเว็บ - Webmaster
Tel : 080-078-4016

อัฎธิชัย ศิริเทศ : บรรณาธิการ - Editor
Tel : 082-178-3849

Email : webmaster@thaingo.org

Office Hours : Mon-Fri , 9.00-17.00

Contact Info

2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310

2044/23 New Phetchaburi Road, Bangkapi, Huai Khwang, Bankok 10310

+662 314 4112