Back

ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 ชาวโรฮิงญาจำนวนมากยังคงต้องแสวงหาความปลอดภัยด้วยการลี้ภัยทางเรือ

29 April 2020

1206

ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 ชาวโรฮิงญาจำนวนมากยังคงต้องแสวงหาความปลอดภัยด้วยการลี้ภัยทางเรือ

 

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเริ่มปฏิบัติการตรวจค้นและให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนที่กำลังประสบภัยอยู่กลางทะเลโดยทันที เนื่องจากมีรายงานมากมายที่ระบุว่า เรือเหล่านี้เสี่ยงภัยอันตรายเดินทางเพื่อแสวงหาความปลอดภัย ระบุรัฐบาลในภูมิภาคต่างเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน และมีช่องทางที่จะช่วยชีวิตพวกเขาได้หากร่วมมือกัน

วิกฤติด้านมนุษยธรรมครั้งนี้คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในภูมิภาคเมื่อห้าปีก่อน ที่ผ่านมาทางการมาเลเซียผลักดันอย่างเต็มที่ไม่ให้เรือเหล่านี้เข้าฝั่ง และผลักให้ชาวโรฮิงญาที่ต้องการความช่วยเหลือออกจากชายฝั่งไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ได้ระบุว่าได้ให้ความช่วยเหลือต่อเรือลำใดที่แล่นเข้ามาใกล้ชายฝั่งของตน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้พบเห็นเรือกลางทะเลที่บรรทุกชาวโรฮิงญาหลายพันคนที่ต้องการความช่วยเหลือ และหลบหนีจากการประหัตประหารในเมียนมาหรือค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ พวกเขาต้องการขอลี้ภัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องรัฐบาลในภูมิภาคให้อนุญาตพวกเขาขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย และขอให้รัฐภาคีของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) ให้ความเห็นชอบต่อมาตรการเร่งด่วนโดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติด้านมนุษยธรรม พร้อมกับปฏิบัติตามมาตรการเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ที่มีอยู่ตามแนวพรมแดนประเทศของตน

แคลร์ อัลแกร์ ผู้อำนวยการอาวุโสแผนกวิจัย รณรงค์กดดันและนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า การต่อสู้กับโรคโควิด-19 ต้องไม่กลายเป็นข้ออ้างสำหรับรัฐบาลในภูมิภาค ที่จะปล่อยให้ทะเลกลายเป็นสุสานสำหรับชาวโรฮิงญาที่ต้องการความช่วยเหลือ

“รัฐบาลในภูมิภาคเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว และมีช่องทางที่จะช่วยชีวิตพวกเขา”

“หากปราศจากความร่วมมือ อาเซียนจะต้องเผชิญกับวิกฤติด้านมนุษยธรรมครั้งใหม่ ในระหว่างที่ต้องต่อสู้กับโรคระบาดระดับโลก เราไม่อาจยอมรับได้ที่จะปล่อยให้เรือล่องไปโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ และเรือหลายลำถูกผลักดันให้ออกจากชายฝั่งที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา”

รายงานข่าวผู้เสี่ยงภัยเดินทางที่อันตราย

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้รับข้อมูลว่า มีผู้พบเห็นเรือประมาณสามถึงห้าลำที่น่าจะบรรทุกผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา ด้านนอกชายฝั่งของมาเลเซียและภาคใต้ของไทยในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เชื่อว่ามีคนอยู่บนเรือหลายร้อยคน  

ในวันที่ 16 เมษายน กองทัพเรือมาเลเซียผลักดันเรือที่ขนชาวโรฮิงญาประมาณ 200 คน ทั้งผู้หญิง ผู้ชายและเด็กออกจากชายฝั่ง โดยมีรายงานว่าได้จัดเสบียงอาหารให้กับคนบนเรือ รัฐบาลมาเลเซียอ้างความจำเป็นจากมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 เพื่อผลักดันเรือออกจากชายฝั่งของตน

ในวันที่ 15 เมษายน หน่วยลาดตระเวนชายฝั่งบังกลาเทศได้ช่วยชีวิตชาวโรฮิงญา 396 คนจากเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่ง เป็นเรือที่ถูกทางการมาเลเซียผลักดันออกมาก่อนหน้านี้ และเชื่อว่าลอยลำอยู่กลางทะเลมาสองเดือนแล้ว

รายงานในเบื้องต้นระบุว่า มีผู้อยู่บนเรือ 32 คนที่เสียชีวิตกลางทะเล แต่คาดว่าตัวเลขในปัจจุบัน น่าจะเพิ่มเป็นเกือบสองเท่าแล้ว เป็นเหตุให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติระบุว่า ผู้รอดชีวิตต่างอยู่ในสภาพขาดอาหารและขาดน้ำอย่างรุนแรง

ต้องมีมาตรการในระดับภูมิภาคอย่างเร่งด่วน

รัฐบาลในภูมิภาคได้ประกาศใช้มาตรการจำกัดสิทธิในภาวะฉุกเฉินตามแนวพรมแดนของตน เพื่อรับมือกับโรคโควิด-19 มาเลเซียและไทยได้ติดตามการเคลื่อนไหวของเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญานอกชายฝั่งของตนมาตลอด ในขณะที่มาเลเซียยอมให้เรือลำหนึ่งเข้าฝั่ง แต่ก็ได้ผลักดันเรืออีกหลายลำให้ออกไป ส่วนประเทศไทยไม่ได้ระบุว่ามีการตรวจพบเรือลำใด หรือได้ให้ความช่วยเหลืออย่างไร

“ทั้งไทยและมาเลเซียต่างทราบว่าชีวิตคนเหล่านี้อยู่ในอันตราย การปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือกับคนในเรือเหล่านี้ย่อมเป็นเหมือนการเสแสร้งว่าตาบอด ย่อมทำให้ชะตากรรมของพวกเขาเลวร้ายลงอย่างจงใจ”

“ไทยและมาเลเซียควรส่งเรือออกไปตรวจหาและช่วยชีวิตคนเหล่านี้ทันที ให้ส่งอาหาร น้ำ และเวชภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการเร่งด่วนของคนหลายร้อยคนที่ติดอยู่กลางทะเล รัฐบาลประเทศเหล่านี้ควรอนุญาตให้คนเหล่านี้ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัยทันที และให้ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับมาตรการด้านโรคโควิด-19 ดังที่มาเลเซียได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในเรื่องนี้ช่วงต้นเดือนนี้” แคลร์ อัลแกร์กล่าว

ในวันที่ 5 เมษายน กรมเจ้าท่าของมาเลเซีย ตรวจพบ เรืออีกลำหนึ่งซึ่งมีชาวโรฮิงญา 202 คน และมีการนำตัวผู้โดยสารเรือเหล่านี้เข้าฝั่งอย่างปลอดภัย และอยู่ระหว่างการกักตัวตามมาตรการโรคโควิด-19  

ช่วงต้นสัปดาห์นี้ รัฐภาคีอาเซียนเผยแพร่ปฎิญญาภายหลังการประชุมผ่านอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ยืนยันพันธกิจของหน่วยงานภูมิภาคที่จะ “ดูแลและแบ่งปันในประชาคมอาเซียน โดยรัฐภาคีอาเซียนจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในช่วงเวลาอันท้าทาย” หน่วยงานภูมิภาคนี้ เคยแสดงพันธกิจก่อนหน้านี้ว่า “จะเรียนรู้จากวิกฤติในอดีตและจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้พลัดถิ่น” โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน

“เมื่อสัปดาห์นี้เอง รัฐบาลอาเซียนส่งสัญญาณแสดงความเป็นเอกภาพท่ามกลางช่วงเวลาที่ยุ่งยาก” แคลร์ อัลแกร์กล่าว “พวกเขาต้องขยายความเมตตาเช่นนี้ไปยังผู้ที่กำลังเสี่ยงภัยอยู่กลางทะเลด้วย”

“รัฐภาคีอาเซียนต้องประกันว่า นโยบายเกี่ยวกับโรคโควิด-19 จะคุ้มครองสิทธิของบุคคลทุกคน และไม่ทำร้ายผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการคุ้มครองระหว่างประเทศ”

ข้อมูลพื้นฐาน

UNHCR ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ยืนยัน ว่า เอกสิทธิของรัฐต่าง ๆ ที่จะกำกับดูแลการเข้ามาของชาวต่างชาติในดินแดนของตน ไม่อาจนำไปสู่การปฏิเสธสิทธิของบุคคลที่จะแสวงหาที่ลี้ภัยจากการประหัตประหารได้ แม้ในภาวะที่เกิดโรคระบาดระดับโลก ในทำนองเดียวกัน หน่วยงานผู้พลัดถิ่นระหว่างประเทศ (International Organization for Migration) ระบุว่า ต้องมีการปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ ในระหว่างที่ใช้มาตรการรับมือกับโรคโควิด-19 เมื่อสัปดาห์นี้ คณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนของคณะมนตรียุโรป ยังเรียกร้อง ให้รัฐภาคีของสหภาพยุโรป ดำเนินการต่อไปเพื่อช่วยชีวิตผู้เสี่ยงภัยกลางทะเล และยอมให้ผู้โดยสารบนเรือขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย แม้ในขณะที่เกิดภาวะโรคระบาดอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ยังคงมีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติกับชาวโรฮิงญาประมาณ 600,000 คนที่ยังอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ของเมียนมาต่อไป ภายหลังปฏิบัติการทางทหารที่โหดร้ายหลายครั้งต่อเนื่องกันในปี 2559 และ 2560 ส่งผลให้ชาวโรฮิงญาเกือบหนึ่งล้านคนหลบหนีไปอาศัยอย่างแออัดยัดเยียดในค่ายผู้ลี้ภัยในบังคลาเทศ ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้อยู่รอดได้

กฎหมายระหว่างประเทศ กำหนดเป็นพันธกรณีให้รัฐต้องปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัยที่เดินทางมาถึงชายฝั่งประเทศตน

หลักการไม่ส่งกลับกำหนดว่า ต้องไม่ส่งบุคคลใดไปยังดินแดนที่มีความเสี่ยงจะถูกประหัตประหารหรือถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง หลักการนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของการคุ้มครองผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ และเป็นหลักการพื้นฐานของข้อห้ามอย่างเบ็ดเสร็จต่อการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี

มาเลเซียและไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย ปี 2494 (อนุสัญญาผู้ลี้ภัย) หรือพิธีสารปี 2510 อย่างไรก็ดี หลักการไม่ส่งกลับได้รับการคุ้มครองโดยทั่วไปตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมทั้งกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ต่อทุกรัฐ ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนแห่งอาเซียนยังคุ้มครองสิทธิ “ที่จะแสวงหาและได้รับการลี้ภัย” 

เอกสารสาธารณะ

https://www.amnesty.or.th/latest/news/786/
 

 

**********
เนาวรัตน์ เสือสอาด
ผู้ประสานงานฝ่ายสื่อสารองค์กร
Naowarat Suesa-ard
Media and Communication Coordinator

About Us

เว็บไทยเอ็นจีโอ สนับสนุนการใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์และเผยแพร่แนวคิดวัฒนธรรมเสรี เนื้อหาในเว็บไซต์ไทยเอ็นจีโอดอทโออาจี ท่านสามารถเอาไปใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต เพียงท่านระบุที่มาและห้ามทำการค้า

ThaiNGO Team

ติดต่อประสานงาน - Contact
Tel : 099-014-3797

ทศพร แกล้วการไร่ : ผู้ดูแลเว็บ - Webmaster
Tel : 080-078-4016

อัฎธิชัย ศิริเทศ : บรรณาธิการ - Editor
Tel : 082-178-3849

Email : webmaster@thaingo.org

Office Hours : Mon-Fri , 9.00-17.00

Contact Info

2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310

2044/23 New Phetchaburi Road, Bangkapi, Huai Khwang, Bankok 10310

+662 314 4112