Advertisement

Banner 600x250 px

Advertise with us

ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

กรณีฮิญาบที่โรงเรียนอนุบาลปัตตานี ข้อท้าทายในการร่วมเเก้ปัญหา

กรณีฮิญาบที่โรงเรียนอนุบาลปัตตานี  ข้อท้าทายในการร่วมเเก้ปัญหา

26 May 2018

2653

ขอบคุณภาพจาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/754031

กรณีฮิญาบที่โรงเรียนอนุบาลปัตตานี ข้อท้าทายในการร่วมเเก้ปัญหา

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ Shukur2003@yahoo.co.uk

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด

ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน ภาพบรรยากาศ นักเรียนและผู้ปกครองมุสลิมมอบดอกไม้ให้ผู้อำนวยการและคณะครูโรงเรียนอนุบาลปัตตานีแทนการขอบคุณที่พวกเขาได้สวมใส่ฮิญาบเข้าเรียนได้ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นข่าวดังในโลกโซเซียลว่าเขาไม่สามารถแต่งได้ จนทำให้รัฐโดยรัฐบาลส่วนหน้าเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องหิญาบโดยนำเรื่องกฎระเบียบกระทรวงที่อนุญาตให้มุสลิมแต่งกายฮิญาบเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลปัตตานี (โรงเรียนของรัฐ)ได้ก่อนจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่เพิ่มดีกรีความรุนแรงชายแดนใต้เหมือนเหตุประท้วงที่ยะลา เมื่อ 30 กว่าปีที่วิทยาลัยครูยะลาขณะนั้นไม่อนุญาตให้มุสลิมสวมฮิญาบเข้าเรียน (โปรดอ่านรายละเอียดใน https://www.isranews.org/south-news/other-news/66105-apparel.htm)

ความเป็นจริงถึงแม้การใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ และกฎกระทรวงที่อยู่เหนือระเบียบโรงเรียนเข้ามาแก้ปัญหาอาจเป็นทางออกหนึ่ง แต่ลึกๆแล้วความขัดแย้งทางความรู้สึกแพ้ชนะแต่ละฝ่ายที่มีกองเชียร์ (สามารถดูได้จากกระแสโลกโซเซียล)กำลังคุกกรุนที่พร้อมจะระเบิดหากไม่สามารถใช้กระบวนการเสวนาอย่างมีศาสตร์และศิลป์ของข้องกังวลอีกฝ่ายได้และพร้อมจะเป็นเชื้อปะทุโหมกระหน่ำไฟใต้ได้ตลอดเช่นกันดังที่มีเเถลงการณ์ของชาวพุทธกลุ่มหนึ่งเเละพระส่วนหนึ่งประกาศไม่ยอมพร้อมสู้กับประกาศที่เขามองว่าขาดความชอบธรรม(โปรดอ่านรายละเอียดใน https://www.isranews.org/content-page/67-south-slide/66220-monk.html)

นายแพทย์ Fahmi Talebได้ตั้งข้อเกตปรากฏการณ์ฮิญาบครั้งนี้ผ่านเฟสส่วนตัวว่า มีเรื่องชวนคิด จากเหตุการณ์เรื่องฮิญาบของรร.อนุบาล ปัตตานีเรื่องแรก คือ อิทธิพลจากโซเชียลมีเดีย ประเด็นเรื่องฮิญาบในสถานศึกษา ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น สมัย 30 ปี ก่อน มีประท้วงใหญ่ โรงเรียนอนุบาลปัตตานี เป็นโรงเรียนรัฐ ที่มีนักเรียนส่วนใหญ่เป็นนักเรียนไทยพุทธ ครูก็เช่นกัน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปัตตานี อยู่ตรงข้ามวัด บริบททั้งหมดเหมาะสมแก่การศึกษาของบุตรหลานชาวไทยพุทธและชาวจีนในพื้นที่ ส่วนนักเรียนมุสลิมที่เข้าเรียนที่นี่ มักเป็นคนชั้นกลางที่อยู่ในเมือง ลูกหลานของนักธุรกิจ หรือข้าราชการ ภรรยาผมก็เป็นศิษย์เก่าที่โรงเรียน เข้าใจสภาพโรงเรียนดี

นักเรียนมุสลิมสมัยก่อนๆ ไม่ได้มาจากครอบครัวสาย Islamic conservative หรืออนุรักษ์นิยมตามวิถีอิสลาม ส่วนครอบครัว Islamic conservative หรือ ชาวบ้านมุสลิมทั่วไปๆ ในตัวเมืองปัตตานี ก็มักหาตัวเลือกอื่นในการเรียนประถมศึกษาให้ลูกอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้หลายสิบปี ที่ไม่เคยมีปัญหา เพราะผู้ปกครองมุสลิมที่เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากเรื่องฮิญาบ ซึ่งเป็นไปตามระดับความเคร่งครัดของครอบครัว ดังนั้นจึงไม่เคยมีปัญหาเรื่องเหล่านี้ หรืออาจมี แต่ผู้ปกครองที่อยากให้ใส่คงไม่ได้คัดค้านอะไรมากนัก ปัจจุบัน ชนชั้นกลางมุสลิมมีมากขึ้น รวมถึงสื่อการสอนศาสนาผ่านโลกออนไลน์มีมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงในด้านความเคร่งครัดในศาสนาของคนชั้นกลาง โดยผ่านตัวกลางคือสื่อออนไลน์ก็มีมากขึ้น ดังนั้นประเด็นเรื่องฮิญาบ จึงกลายเป็นความสนใจที่ผู้ปกครองเอาใจใส่มากขึ้น มิติด้านพหุวัฒนธรรมที่ถูกพูดถึงในพื้นที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ถูกใช้ในการเรียกร้องครั้งนี้ด้วยแต่มีข้อสำคัญที่ควรนึกถึง คือ ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ล้วนหวงแหนพื้นที่และอำนาจของตัวเอง และปฏิกริยาในการป้องกันพื้นที่ที่เขาหวงแหนนั้นก็อาจไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลรองรับ เช่นกรณีที่บุคลากรหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน รร.อนุบาลปัตตานี อ้างสิทธิ กฏระเบียบของโรงเรียน หรือ อ้างอิงถึงธรณีสงฆ์ กล่าวอ้างขึ้นมา แม้เป็นเหตุผลที่ฝ่ายเรียกร้องสิทธิฮิญาบบอกว่าไม่มีเหตุผล เพราะมีกฏหมายประเทศเรื่องระเบียบเครื่องแต่งกายตามศาสนาที่อยู่ในลำดับสูงกว่าอยู่

ความรู้สึกที่เห็นว่า พื้นที่ที่ตัวเองเคยมีอำนาจ (โรงเรียน, ชุมชน, มัสยิดศูนย์กลาง) กลับถูกท้าทายด้วยผู้เล่นใหม่ที่เข้ามา และการสกัดกั้นตามสัญชาตญาณจึงออกมาเช่นที่เป็นปรากฏ ดังนั้นการได้รับอนุญาตให้นักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบในโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ไม่ใช่ชัยชนะของมุสลิม และไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของคนไทยพุทธในพื้นที่มุสลิมได้รับสิทธิที่ไม่ได้กระทบกับวิถีปฏิบัติของชาวไทยพุทธเรื่องนี้คือเรื่องพื้นฐานมากๆ ปรากฏการณ์เรื่องนี้มีแค่นิดเดียวนั้นคือ นักเรียน 7 คนที่ครอบครัวและตัวนักเรียนต้องการสวมใส่ฮิญาบตามหลักศาสนา ได้รับอนุญาตจากทางโรงเรียน และทางโรงเรียนก็ไม่ได้สูญเสีย การเรียนการสอนก็ยังคงเป็นไปตามเดิม ครูทุกคนก็ทำหน้าที่เหมือนเดิม การทำความเข้าใจที่ดีในเรื่องซับซ้อนเช่นนี้คงต้องใช้เวลา เหตุผลที่ดีย่อมเอาชนะผู้มีปัญญาทั้งหลายแน่นอน ด้วยระยะเวลาและวิธีที่เหมาะสม ยกเว้นว่าต่างฝ่ายต่างไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลที่ดี และวิธีที่เหมาะสมได้ นางอังคณา นีลไพจิต ได้แสดงทัศนะผ่านเฟสส่วนตัวว่า

#นักสิทธิมนุษยชนและนักสันติวิธีบางคนเรียกร้องให้ใช้กระบวนการทางศาล เรื่องระเบียบโรงเรียนขัดรัฐธรรมนูญ #ส่วนตัวขอยืนยันว่า การใช้หลักนิติศาสตร์เพียงลำพังไม่สามารถแก้ปัญหาความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ได้ หนำซ้ำยังอาจทำทำให้เกิดการปะทะทางความคิดมากขึ้น ซึ่งจะไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งไดๆได้ เรื่องนี้จึงควรใช้หลักรัฐศาสตร์ในการเจรจาประนีประนอม โดยยึดเอาผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ ในระยะยาว (โปรดดูข้อกังวลและข้อเสนอชาวพุทธจชต.ผ่านงานวิจัย1. https://mgronline.com/south/detail/9610000048952 2.https://deepsouthwatch.org/th/node/11160 )

ทุกฝ่ายควรเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยในทุกความคับข้องใจ เพราะน่าจะมีหลายเรื่องที่ควรพูดคุยระหว่างคนต่างศาสนาเพื่อหาทางออกในการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ท่านที่ติดตามเรื่องราวปัญหาใน จชต. คงทราบว่านอกจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานนับสิบปีแล้ว ยังมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่ที่เคยอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน ไว้วางใจและร่วมทุกข์ร่วมสุข แต่ปัจจุบันความสัมพันธ์และความรู้สึกดีๆเหล่านี้หายไป แถมยังแปรเปลี่ยนเป็นความหมางเมิน หวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ เด็กๆที่เคยมีเพื่อนสนิทเป็นคนต่างศาสนิก ได้เรียนรู้ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความเชื่อและศาสนา พบว่าปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่เติบโตแบบแยกกันเรียน แยกกันเล่น เด็กมุสลิมส่วนมากเรียนในโรงเรียนที่สอนศาสนาอิสลามด้วย ส่วนเด็กพุทธก็เรียนในโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งบางโรงเรียนแทบไม่มีมุสลิมเรียน ไม่นานมานี้ มีกรณีความไม่สบายใจของคนไทยพุทธในพื้นที่กรณีที่โรงพยาบาลใหญ่ในจังหวัดยะลา ประกาศให้อาหารในโรงพยาบาลเป็นอาหารฮาลาลทั้งหมด โดยให้มีครัวฮาลาลครัวเดียว โดยให้เหตุผลว่า “อาหารฮาลาลทุกคนรับประทานได้” แต่หากผู้ป่วยประสงค์จะรับประทานอาหารทั่วไปก็ต้องนำอาหารพร้อมภาชนะมาเอง เรื่องนี้แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็สร้างความรู้สึกไม่เป็นธรรมต่อผู้ป่วยและญาติที่ไม่ได้เป็นมุสลิม ทั้งที่ที่จริงโรงพยาบาลสามารถจัดให้มีสองครัวได้ ทั้งครัวอาหารฮาลาลและครัวอาหารทั่วไป

โดยต้องยอมรับว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหาร หรืออาจอยากทานอาหารที่ตนเองคุ้นเคย ซึ่งก็ย่อมมีสิทธิที่กระทำได้ อีกทั้งต้องยอมรับว่า คนป่วยทุกคนไม่ได้มีญาติมาเยี่ยมทุกวัน หรือสามารถส่งอาหารให้ได้ทุกมื้อ ผู้ป่วยหลายคนนานๆจะมีญาติมาเยี่ยม เพราะอาจไม่สะดวกเรื่องการเดินทางหรือค่าใช้จ่ายอื่น ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมเรื่องโครงการ “พาคนกลับบ้าน” ที่เมื่อเร็วๆนี้ชาวบ้านอำเภอสุคิริน ที่ส่วนมาเป็นคนไทยพุทธออกมาคัดค้าน ไม่ต้อนรับผู้ “กลับบ้าน” ต่างศาสนา ดร.สุชาติ เศรษฐมาลีนีนักวิชาการมุสลิมจากมหาวิทยาลัยพายัพเขียนไลน์มาให้บอกว่าเห็นด้วยกับผู้เขียนว่าการเเก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่เพียงพอเเละยั่งยืน ควรมที่มุสลิมเองเเละต่างศาสนิกหรือคู่ขัดเเย้งตั้งสติสานเสวนาหาทางออก " จากประสบการณ์..ไม่ว่าฝ่ายพุทธหรือมุสลิม... การแก้ปัญหาโดยอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมของตนฝ่ายเดียวโดยไม่รู้จักใช้ฮิกมะฮ์(วิทยปัญญา)และไม่รู้สึกรู้สาความรู้สึกของอีกฝ่าย จะไม่มีทางนำความรุ่งเรืองสู่ศาสนาของตนเอง ผมเคยยกตัวอย่างหลายที่หลายทางเกี่ยวกับ ชุมชนแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซียยุคก่อนอิสลามซึ่งเป็นชุมชนฮินดู อิหม่ามขณะนั้นขอร้องมุสลิมอย่ากินเนื้อวัว เพราะถึงแม้จะเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของมุสลิมแต่ไปทำลายความรู้สึกชาวฮินดู มุสลิมจึงหันไปกินเนื้อควายแทน จนในที่สุด ด้วยความงดงามของอิสลามและวิถีของมุสลิมในชุมชนนั้น ชาวฮินดูจึงได้หันมารับอิสลามและกลายเป็นชุมชนมุสลิมที่แทบไม่กินเนื้อวัวมาจนทุกวันนี้ [ที่พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่า กรณีโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ต้องให้เด็กมุสลิมทิ้งอัตลักษณ์ตนเอง ต้องเลิกคลุมฮิญาบนะครับ] เพียงแต่ต้องการบอกว่า

ทั้งฝ่ายพุทธและมุสลิมไม่ควรเริ่มต้นคุยกันด้วย “สิทธิ์” ของตนเป็นตัวตั้ง แต่หันมาคุยกันด้วยความรัก ด้วยเหตุด้วยผล ตอนนี้ฝ่ายพุทธก็ยืนยัน “สิทธิ์” และมองว่า “การที่โรงเรียนที่ตั้งบนพื้นที่วัดอนุญาตให้มุสลิมคลุมผมเป็นการทำลายแก่นของพุทธศาสนา” (คำพูดในคลิปของพระที่เป็นรองประธานสมาพันธ์ชาวพุทธ 3 จชต.) ซึ่งเป็นข้อโต้แย้งที่อ่อนมากๆ ว่าการคลุมผมของเด็กมุสลิมไปทำลายแก่นของศาสนาพุทธอย่างไร ชาวพุทธไม่ควรยอมรับความคับแคบในการนิยามแบบนี้เพราะรังแต่จะสร้างความเสียหายให้พุทธศาสนามากกว่า เพราะศาสนาพุทธที่ผมเข้าใจมีความใจกว้าง และสันติกับทุกศาสนาโดยไม่ยึดติดกับอัตตาของตนเอง ผมเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้น่าเป็นห่วงครับ เพราะได้กลายเป็นสงครามอารมณ์ความรู้สึก และมุ่งเอาชนะคะคานกันมากกว่าพูดคุยกันด้วยเหตุผล อีกทั้งมีแนวโน้มจะลุกลามบานปลายขยายวงสร้างความเกลียดชังระหว่างศาสนามากยิ่งขึ้น น่าจะต้องมีทีมรีบพูดคุยทำความเข้าใจโดยเร็วครับ โดยเราต้องช่วยกันคิดโดยใช้ฮิกมะฮ์เพื่อให้เขายอมรับเราโดยไม่รู้สึกว่าเป็นการเสียหน้า เสียสิทธิ์ และหันหน้ามายอมรับซึ่งกันและกัน... เพื่อนอีกคนขอสงวนนาม(ทำงานสานเสวเเก้ปัญหาความขัดเเย้งอธิบายว่า " ถ้า เข้าใจเขาได้ เท้าก็สามารถแตะบันไดขั้นแรก ถ้า ไม่เข้าใจเขา ข้อดีก็คือแสดงว่าเราสามารถรู้ว่า "ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจเรา " หาให้เจอได้จากตัวเรานี่เอง (ถ้าเอาจริง)ก็จะเริ่มเข้าใจเขาในประเด็นสำคัญ "ความเข้าใจ"เป็นปฐมบทและเป็นแรงใจสำคัญ (เจอแรงม๊อบอาจท้อได้) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนจะเป็นอย่างไรในอนาคต ประชาชนก็ยังต้องอยู่กับประชาชนด้วยกัน"

หากสามารถสานเสวนาพูดคุยด้วยใจท้ายสุดร่วมกันใช้อำนาจเพราะ อำนาจอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า อำนาจร่วม คือ ตัดสินโดยใช้อำนาจร่วมกัน เกิดจาก เข้าใจกัน เห็นฟ้องต้องกัน ยินยอมพร้อมใจกัน ถึงเเม้ตอนนี้ดูจะสายไป แต่อาจไม่สายไป เพราะปัญหาทุกอย่าง ความเสียหายทุกชนิดล้วนเป็นเหตุเตือนให้เราเริ่มต้นแก้ปัญหาให้ถูกทางอยู่เสมอ ครับหวังว่า งาน สานเสวนา Interfaith ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สูญเสียงบประมาณกันไปมากมายที่ดูอาจจะล้มเหลวต้องทำต่อไปและถอดบทเรียนว่าทำไม #สิทธิทางศาสนาและวัฒนธรรม ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาหรือวัฒนธรรมใดจะสามารถอยู่เหนือศาสนาและวัฒนธรรมอื่น แต่ทุกศาสนาและวัฒนธรรมล้วนมีความเท่าเทียมกันในการประพฤติปฏิบัติตามความเชื่อของตน หลักการศาสนาอิสลามเคารพสิทธิของคนกลุ่มน้อยในรัฐอิสลาม ไม่เบียดเบียน ไม่กดทับ และเชื่อว่านี่เป็นหลักการของทุกศาสนาด้วยเช่นกัน และหากปล่อยให้เหตุการณ์ความไม่เข้าใจในลักษณะเช่นนี้ยังคงเกิดขึ้น ก็คงต้องยอมรับความจริงว่า “

#พื้นที่พหุวัฒนธรรม” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นงานที่ท้าทาย ครับหวังว่าข้อคืดเห็นที่หลากหลายเหล่าจะนำพาไปสู่ทางสว่างในการเเก้ปัญหาที่ท้าทายร่วมกันในจชต.เเละสังคมไทยในภาพรวม

Recent posts