9 September 2017
1367
( ขอบคุณภาพจาก ข่าวสด : https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_97443 ) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แถลงการณ์ พม่า: การปิดกั้นความช่วยเหลือระหว่างประเทศทำให้ประชาชนหลายหมื่นคนเสี่ยงภัย การปิดกั้นของทางการพม่าไม่ให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศเข้าสู่รัฐยะไข่กำลังทำให้ประชาชนหลายหมื่นคนเสี่ยงภัยในเขตการปกครองซึ่งประชากรจำนวนมากเป็นชาวโรฮิงญาที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการปฏิบัติมิชอบอันโหดร้าย จากการปราบปรามทางทหารอย่างไม่ได้สัดส่วน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวในวันนี้ ผู้ปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือให้ข้อมูลกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่รุนแรงขึ้นอย่างมากในรัฐยะไข่ เนื่องจากกองทัพได้มีปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ นับแต่การโจมตีหน่วยปฏิบัติการความมั่นคงหลายสิบแห่งเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งมีการกล่าวอ้างว่าเป็นการโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธกองทัพปลดแอกชาวโรฮิงญาแห่งรัฐอาระกัน (ArakanRohingya Salvation Army) ทีรานา ฮัสซัน (Tirana Hassan) ผู้อำนวยการแผนกรับมือภาวะวิกฤตแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า สภาพด้านมนุษยธรรมในรัฐยะไข่เป็นอยู่อย่างหายนะไม่ควรมีเหตุผลมาอ้างเพื่อการปฏิเสธไม่ให้ประชาชนที่กำลังเดือดร้อนเข้าถึงความช่วยเหลือที่จำเป็นต่อชีวิตพวกเขาได้ การที่ทางการพม่าปิดกั้นการเข้าถึงของหน่วยงานด้านมนุษยธรรม ส่งผลให้ชีวิตประชาชนหลายหมื่นคนเสี่ยงภัย และแสดงถึงความเพิกเฉยอย่างร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ “การปิดกั้นเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชุมชนทั้งหมดในรัฐยะไข่ รัฐบาลต้องเปลี่ยนแผนการโดยทันที และอนุญาตให้หน่วยงานด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าถึงพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของรัฐได้อย่างเต็มที่และปราศจากการแทรกแซง ทั้งนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่กำลังทุกข์ยาก” ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการระงับการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือทางตอนเหนือของรัฐ ส่วนในพื้นที่อื่น ๆ ทางการพม่าได้ปฏิเสธไม่ให้ผู้ทำงานด้านมนุษยธรรมเข้าถึงชุมชนต่าง ๆ ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะที่เป็นชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญา จากข้อมูลของผู้ทำงานด้านมนุษยธรรม การปิดกั้นการดำเนินงานและการเข้าถึงเหล่านี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม แต่เลวร้ายลงอย่างมากภายหลังการโจมตีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ประชาชนหลายหมื่นคนถูกบังคับให้อพยพหลบหนีออกจากบ้านเรือนของตนนับตั้งแต่ความรุนแรงเริ่มต้นขึ้น ตามข้อมูลล่าสุดขององค์การสหประชาชาติ คาดว่ามีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา 90,000 คน หลบหนีข้ามพรมแดนไปยังบังคลาเทศ ในขณะที่รัฐบาลพม่าได้อพยพประชาชนกว่า 11,000 คน ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยอีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ ประชาชนหลายพันคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญา เชื่อว่าถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามป่าเขาทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ โดยหน่วยงานสหประชาชาติและองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศไม่สามารถประเมินความต้องการด้านที่อยู่อาศัย อาหาร และความคุ้มครองของพวกเขาได้ เจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมคนหนึ่งซึ่งทำงานในรัฐยะไข่ให้ข้อมูลกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่า “ชาวมุสลิมต่างถูกทิ้งให้อดอาหารอยู่ในบ้านตนเอง ตลาดปิด และชาวบ้านไม่สามารถออกจากหมู่บ้านได้ เว้นแต่ต้องหลบหนีไป ทางการได้ใช้กำลังปราบปรามอย่างกว้างขวาง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาใช้ทั้งอาหารและน้ำเป็นอาวุธ” ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาซึ่งหลบหนีไปยังบังคลาเทศ เล่าให้ฟังถึงการปฏิบัติมิชอบอันโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของพม่า รวมทั้งการสังหารประชาชนที่พยายามหลบหนี และการเผาหมู่บ้าน ช่วงปลายปี 2559 กองทัพพม่าได้เริ่มปฏิบัติการโจมตีที่โหดร้าย โดยเป็นการตอบโต้การโจมตีของกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา ในช่วงเวลาดังกล่าว แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลสามารถบันทึกข้อมูลการละเมิดที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของกองทัพพม่า รวมทั้งการข่มขืนกระทำชำเรา การสังหาร การทรมาน และการเผาหมู่บ้าน ซึ่งอาจถึงขั้นเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ “กองทัพพม่าได้ตอบโต้กับการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธ ในลักษณะที่ไม่ได้สัดส่วนอย่างสิ้นเชิง ปฏิบัติการด้วยความรุนแรงของพวกเขาเป็นการพุ่งเป้าโจมตีอีกครั้งหนึ่งต่อประชาชนทั่วไปที่เป็นชาวโรฮิงญาด้วยเหตุด้านชาติพันธุ์และศาสนา และการโจมตีนี้ต้องยุติลงโดยทันที” ทีรานากล่าว “ทางการพม่ามีพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่จะต้องปฏิบัติต่อบุคคลทุกคนที่อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ รวมทั้งชาวโรฮิงญาโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ แต่พวกเขากลับเลือกปฏิบัติต่อประชากรกลุ่มนี้ทั้งหมดราวกับเป็นศัตรู เป็นเหตุให้มีการโจมตี การสังหาร การทำลายบ้านเรือน และการถอนรากเหง้าของพวกเขาอย่างไม่เลือกเป้าหมาย” รัฐบาลยังทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงด้วยการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ให้ความสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา หลังกล่าวหาว่า ได้พบเสบียงอาหารที่มีฉลากขององค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศติดอยู่ ในค่ายของกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ “ข้อกล่าวหาต่อองค์กรมนุษยธรรมระหว่างประเทศว่าเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในรัฐยะไข่ เป็นข้อกล่าวหาที่ทั้งเกินจริงและขาดความรับผิดชอบ ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมดำเนินการให้ความช่วยเหลือชาวพม่า โดยให้ทั้งความช่วยเหลือและความสนับสนุนในสิ่งที่จำเป็น ซึ่งเป็นภารกิจที่รัฐบาลมักไม่สามารถกระทำได้ ทางการพม่าต้องหยุดเผยแพร่ข้อมูลผิด ๆ เช่นนี้ และหยุดการเผยแพร่ข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูลความจริงและเป็นการยั่วยุโดยทันที” ทีรานากล่าวทิ้งท้าย เอกสารสาธารณะ **************************************** สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ สำนักประชาสัมพันธ์แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุงลอนดอน ที่เบอร์โทรศัพท์ +44 20 7413 5566 หรือ +44 (0) 777 847 2126 อีเมล์: press@amnesty.org twitter: @amnestypresswww.amnesty.org International Secretariat, Amnesty International, 1 Easton St., London WC1X 0DW, UK