14 May 2017
1261
( ขอบคุณภาพจาก เลยไทม์ออนไลน์ ) กรณีกลั่นแกล้งนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านคอนสา หมู่ที่ ๔ ต.เชียงกลม อ.ปากชม จ.เลย ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ หนังสือนายวีระพงษ์ ส่านสิงห์ (ชาวบ้านตำบลเชียงกลม ผู้รักผืนป่า) ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ส่งถึง๑.นายกรัฐมนตรี ๒.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ๓.ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องทวงคืนผืนป่าอนุรักษ์ (C) แห่งชาติ มีเนื้อหาว่า ด้วยความดีใจและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ในการปฏิบัติการทวงคืนผืนป่า ได้ดำเนินการอย่างจริงจังหลายพื้นที่ในประเทศเกิดขึ้นในช่วงนี้และได้รับผลเกินความคาดหมาย เพราะได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายทหารเต็มที และเป็นนโยบายสำคัญของท่านนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ซึ่งหากไม่ดำเนินการช่วงเวลาอย่างนี้ก็คงหมดโอกาสแล้ว เช่น วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๙ ทวงคืนได้ ๕,๐๐๐ กว่าไร่ที่อำเภอครบุรี และอำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา และวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ดำเนินการที่ภูทับเบิก จึงขอความเมตตากรุณาดำเนินการในพื้นที่จังหวัดเลยบ้าง พื้นที่ป่าไม่เหลือแล้ว โดยเฉพาะท้องที่ตำบลเชียงกลม อำเภอปากชม จังหวัดเลย ตั้งแต่บ้านโพนทอง บ้านสาธร และบ้านคอนสา ตามค่าพิกัด UTM,N ๑๙๗๐๐๐๐ ถึง ๑๙๘๐๐๐๐ และค่าพิกัด E ๑๘๓๐๐๐ ถึง ๑๘๗๐๐๐ เมื่อหักพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A ออกแล้วเหลือพื้นที่ประมาณ ๒๔ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑๕,๐๐๐ ไร่ มีการบุกรุกแผ้วถางยึดพื้นที่ทำประโยชน์ไปแล้ว ๙๐% ของพื้นที่ หรือ ๑๓,๕๐๐ ไร่ และมีการบุกรุกในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A ตลอดแนวซ้าย-ขวาของแผนที่มากกว่า ๔,๐๐๐ ไร่ เพื่อปลูกยางพาราปลูกมันสำปะหลัง และข้าวโพด โดยเฉพาะหมู่บ้านคอนสาและบ้านสาธรมีการบุกรุกมากกว่า ๙๕%ซึ่งไม่รวมพื้นที่ที่ ๒ หมู่บ้านนี้บุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A อีกประมาณ ๓,๐๐๐ ไร่ ๒ หมู่บ้านนี้มี ๔๒๓ หลังคาเรือน แต่มีรถไถหรือฟาร์มแทรกเตอร์เกือบ ๒๐๐ คัน ส่วนใหญ่ซื้อได้ประมาณ ๑-๒ ปี กำลังผ่อนส่งอยู่ราคายางพาราไม่ดีจำเป็นต้องบุกรุกพื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ๒ หมู่บ้านนี้จึงเป็นพื้นที่อันตราย ตัวอย่างเช่น ค่าพิกัด N ๑๙๗๖๐๐๐ ถึง ๑๙๗๗๐๐๐ และ E ๑๘๔๐๐๐ ถึง ๑๘๕๐๐๐ เนื้อที่ ๖๒๕ ไร่ หรือ ๑ ตารางกิโลเมตร บุกรุกไปแล้ว ๙๕% และพื้นที่ดังกล่าวก็มีการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A เพื่อปลูกยางพาราด้วย หน่วยงานป้องกันและรักษาป่า ลย.๑๑ (ชมน้อย) เป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ทราบทำอะไรอยู่ ข้อเท็จจริงปัจจุบันไม่สมควรใช้คำว่าป่าสงวนแห่งชาติ หรือป่าอนุรักษ์ หรือเขตอุทยานแห่งชาติแล้ว เพราะพื้นที่ถูกบุกรุกหมดแล้ว แต่เป็นการบุกรุกปลูกพืชเศรษฐกิจยางพาราเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นสร้างรีสอร์ท หรือสิ่งปลูกสร้างถาวร พอแก้ไขได้อยู่ ถ้าจะดำเนินการจริงจัง สำคัญที่สุดทราบว่าเจ้าหน้าที่มีการเก็บผลประโยชน์จากการบุกรุกของชาวบ้านนับกันเป็นต่อไร่กันเลย อย่างนี้ลำบากและเหนื่อยใจจริงๆ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและอนุเคราะห์พิจารณาดำเนินการด่วนต่อไป ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ หนังสือสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ทส ๐๒๐๖.๒/๕๕๑ ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ส่งถึงกรมป่าไม้ มีเนื้อหาว่า ด้วยนายวีระพงษ์ ส่านสิงห์ ได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ เรียนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แจ้งเบาะแสการบุกรุกพื้นที่ป่าและการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A เพื่อปลูกยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด ในพื้นที่ตำบลเชียงกลม อำเภอปากชม จังหวัดเลย โดยในปัจจุบันมีการบุกรุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาดังกล่าว นั้น สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สป.ทส.) พิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการแจ้งเบาะแสการบุกรุกพื้นที่ป่าที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของหน่วยป้องกันและรักษาป่า ลย.๑๑ (ชมน้อย) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมป่าไม้ (ปม.) ในการนี้ จึงขอส่งเรื่องให้ ปม. นำไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไป และขอให้ ปม. รายงานผลการดำเนินการ ดังนี้ ๑. กรณีที่ ปม. ได้รับเรื่องแล้ว แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ หรืออยู่ระหว่างดำเนินการ ขอให้ ปม. รายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินการเป็นประจำทุกเดือน ตามแบบฟอร์มที่กำหนดในรูปแบบไฟล์ Excel ผ่านทางระบบ E-Petition ให้ สป.ทส. ทราบ ๒. กรณีที่ ปม. ได้รับเรื่องแล้ว และพิจารณาเห็นว่าดำเนินการเสร็จแล้ว ขอให้ ปม. มีหนังสือแจ้งผู้ร้องเรียนทราบโดยตรง และรายงานให้ สป.ทส. ทราบ พร้อมกับสแกนและส่งไฟล์สแกนหนังสือฉบับดังกล่าวทั้งหมดให้ สป.ทส. ทราบผ่านทางระบบ E-Petition ด้วย โดยการดำเนินการส่งเรื่องร้องเรียนผ่านทางระบบ E-Petition ดังกล่าว เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติของหนังสือด่วนที่สุด ที่ ทส. ๐๒๐๖.๒/ว ๑๖๗๕ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ทั้งนี้ โปรดให้ความคุ้มครองผู้ร้องเรียน ผู้ให้ข้อมูล และผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าให้ต้องได้รับภัยหรือความไม่ชอบธรรมอันเนื่องมาจากการร้องเรียนในครั้งนี้ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ หนังสือสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ทส ๐๒๐๖.๒/๕๕๒ ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ส่งถึงนายวีระพงษ์ ส่านสิงห์ มีเนื้อหาว่า ตามที่ท่านได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ เรียนปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแจ้งเบาะแสการบุกรุกพื้นที่ป่าและการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A เพื่อปลูกยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด ในพื้นที่ตำบลเชียงกลม อำเภอปากชม จังหวัดเลย โดยในปัจจุบันมีการบุกรุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาดังกล่าว นั้น สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอเรียนว่า ได้มอบหมายให้กรมป่าไม้นำไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ต่อไปแล้ว หากมีผลการดำเนินการประการใด กรมป่าไม้จะแจ้งท่านทราบโดยตรงต่อไป ทั้งนี้ ภายหลังจากท่านได้รับหนังสือฉบับนี้แล้ว ๗ วัน ท่านสามารถติดต่อกรมป่าไม้ เพื่อติดตามเรื่องดังกล่าวได้ที่ เบอร์ ๐ ๒๕๖๑๔๒๙๒-๓ ต่อ ๕๖๕๗ และ ๕๐๖๓ ในวันและเวลาราชการ จันทร์ถึงศุกร์ ๐๘.๐๐-๑๖.๓๐ น. โดยแจ้งว่า ขอติดตามหนังสือสำนักปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลับ ที่ ทส ๐๒๐๖.๒/๕๕๑ ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙หรือแจ้งว่าขอติดตามเรื่องร้องเรียน Ticket ID เลขที่ ๕๙๑๒๗๖๐๘๐๖ จึงเรียนมาเพื่อทราบ ๒ กันยายน ๒๕๕๙ หนังสือสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร ๐๑๐๕.๐๒/๔๖๗๘๑ ลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๙ ส่งถึงนายวีระพงษ์ ส่านสิงห์ เรื่องขอให้ตรวจสอบ มีเนื้อหาว่า ตามหนังสือที่ท่านได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ขอให้ตรวจสอบการบุกรุกทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าอำเภอปากชม จังหวัดเลย นั้น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ประสานส่งเรื่องให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาตรวจสอบเรื่องร้องเรียนดังกล่าว โดยขอให้แจ้งผลให้ท่านทราบโดยตรงด้วยแล้ว จึงเรียนมาเพื่อทราบ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ มีหนังสือสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ทส ๐๒๐๖.๒/๕๕๒ ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ส่งถึงนายวีระพงษ์ ส่านสิงห์ (ไปดูวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙) ๗ กันยายน ๒๕๕๙ หนังสือกลุ่มฮักบ้านฮั่นแน้ว ที่ ฮ๐๗-๐๙-๕๙(๑) ลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๙ ส่งถึงสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องขอชี้แจ้งข้อเท็จจริง ตามที่สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีหนังสือตามอ้างถึง ๑ ส่งถึงนายวีรพงษ์ส้านสิงห์ โดยระบุว่าได้ทำการแจ้งเบาะแสการบุกรุกพื้นที่ป่าและการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A เพื่อปลูกยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด ในพื้นที่ตำบลเชียงกลม อำเภอปากชม จังหวัดเลย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ นั้น ราษฎรบ้านคอนสา หมู่ ๔ และบ้านสาธร หมู่ ๑๐ ในนามกลุ่มฮักบ้านฮั่นแน้ว ขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงดังนี้ ในพื้นที่บ้านคอนสา หมู่ ๔ และบ้านสาธร หมู่ ๑๐ได้มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งยื่นคำขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ถ่านหิน ซึ่งได้ทำการรังวัดปักหมุดและจัดทำแผนที่ประกอบการยื่นคำขอประทานบัตรในที่ดินทำกินของราษฎรทั้งสองหมู่บ้านโดยพลการ ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ทำการแจ้งและขออนุญาตใช้พื้นที่จากเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด และในที่ดินดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ และกฎกระทรวงฉบับที่ ๗๕๐ (๒๕๑๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ (ป่าภูเขาแก้วและป่าดงปากชม) แต่ก็ได้รับความอะลุ่มอล่วยจากหน่วยงานราชการ ให้ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านทำกินในที่ดินได้ดังเดิม เพราะเห็นว่าชาวบ้านอยู่กินกันมานาน ก่อนการประกาศใช้กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านก็ทำกินในที่ดินดังกล่าวโดยสงบ ไม่เคยมีข้อเดือดร้อนหรือข้อขัดแย้ง หรือข้อกล่าวหาว่ามีความผิดทางกฎหมายใดๆ และในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๙ ชาวบ้านคอนสา หมู่ ๔ และบ้านสาธร หมู่ ๑๐ และผู้ใหญ่บ้านทั้งสองหมู่บ้านได้จัดเวทีประชาคมหมู่บ้าน เรื่องการลงมติเกี่ยวกับการขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่จากบริษัทต่างๆ ในพื้นที่ตำบลเชียงกลม อำเภอปากชม จังหวัดเลย ขึ้น และได้เชิญหน่วยงานราชการเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในเวทีประชาคมดังกล่าว ถึง หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลย.๑๑ (ชมน้อย) ซึ่งได้ขอความร่วมมือนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคอนสา เดินทางไปส่งหนังสือเชิญให้แก่หน่วยงานให้รับทราบและเข้าร่วมในเวทีประชาคม ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ซึ่งเป็นเพียงหนังสือขอเรียนเชิญเข้าร่วมเป็นสักขีพยานเวทีประชาคมหมู่บ้านและการลงมติเกี่ยวกับการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวก็ไม่ได้เดินทางมาเข้าร่วมเวทีประชามคมแต่อย่างใด ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการกล่าวอ้างว่าได้ทำหนังสือส่งถึงปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแจ้งการบุกรุกพื้นที่ป่าแต่อย่างใด จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวกับการขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ถ่านหินดังกล่าว ซึ่งมีความพยายามที่จะกลั่นแกล้งชาวบ้านให้ได้รับความเดือนร้อน และทำให้ผู้นำหมู่บ้านเกิดความแยกแยกกันกับชาวบ้านในพื้นที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๙ หนังสือนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ เขียนที่ ๑๘๖ หมู่ ๔ บ้านคอนสา ต.เชียงกลม อ.ปากชม จ.เลย ส่งถึงสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงและขอสำเนาหนังสือที่เกี่ยวข้อง ตามที่มีหนังสือแจ้งว่าเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ โดยระบุว่าข้าพเจ้าได้ทำหนังสือส่งถึงปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเรื่อง การแจ้งเบาะแสการบุกรุกป่าและการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A เพื่อปลูกยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด ในพื้นที่ตำบลเชียงกลม อำเภอปากชม จังหวัดเลย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ นั้น ข้าพเจ้า นายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องราวในหนังสือใด ๆ ทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับการกล่าวอ้างว่า ข้าพเจ้าได้ทำการแจ้งเบาะแสการบุกรุกพื้นที่ป่าและการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A ต่อปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจเป็นการแอบอ้างในการใช้ชื่อส่งหนังสือไปยังหน่วยงานของท่าน ซึ่งหนังสือที่ข้าพเจ้าได้เดินทางไปส่งยังหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลย.๑๑ (ชมน้อย) เป็นเพียงหนังสือขอเรียนเชิญเข้าร่วมเป็นสักขีพยานเวทีประชาคมหมู่บ้านและการลงมติเกี่ยวกับการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เท่านั้น ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๒ ซึ่งราษฎรบ้านคอนสา หมู่ ๔ และบ้านสาธร หมู่ ๑๐ และผู้ใหญ่บ้านทั้งสองหมู่บ้านได้ประสานให้ข้าพเจ้าเดินทางไปส่งหนังสือให้แก่หน่วยงานดังกล่าวเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในเวทีประชาคมหมู่บ้าน เนื่องจากในพื้นที่ทั้งสองหมู่บ้านได้มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งยื่นคำขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ถ่านหิน ซึ่งได้ทำการรังวัดปักหมุดและจัดทำแผนที่ประกอบการยื่นคำขอประทานบัตรในที่ดินทำกินของราษฎรทั้งสองหมู่บ้านโดยพลการ ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ทำการแจ้งและขออนุญาตใช้พื้นที่จากเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด และในที่ดินดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ และกฎกระทรวงฉบับที่ ๗๕๐ (๒๕๑๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ (ป่าภูเขาแก้วและป่าดงปากชม) แต่ก็ได้รับความอะลุ่มอล่วยจากหน่วยงานราชการให้ชาวบ้านทำกินในที่ดินได้ เพราะเห็นว่าชาวบ้านอยู่กินกันมานาน ก่อนการประกาศใช้กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านก็ทำกินในที่ดินดังกล่าวโดยสงบ ไม่เคยมีข้อเดือดร้อนหรือข้อขัดแย้ง หรือข้อกล่าวหาว่ามีความผิดทางกฎหมายใดๆ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับการขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ดังกล่าว คาดว่าอาจจะเป็นการกลั่นแกล้งให้ข้าพเจ้าได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่จงใจทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่บ้าน ข้าพเจ้าจึงขอออกมาแก้ไขข้อมูลว่าไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้นในหนังสือที่กล่าวอ้างมาข้างต้น และเกิดข้อสงสัยว่าหนังสือที่ส่งไปนั้นเนื้อความในหนังสือและลายเซ็นต์ในหนังสือนำส่งเป็นของข้าพเจ้าจริงหรือไม่ซึ่งมีข้อพิรุธหลายประการ คือ ๑.ชื่อและนามสกุลไม่ถูกต้อง๒.ที่อยู่ไม่ถูกต้อง ๓.รหัสไปรษณีย์ไม่ถูกต้อง ในฐานะที่ข้าพเจ้าซึ่งถูกแอบอ้างในหนังสือจึงขอสำเนาหนังสือที่ส่งในการแจ้งเบาะแสการบุกรุกดังกล่าว และขอสำเนาต้นทางไปรษณีย์ที่หนังสือฉบับนี้ส่งไปยังหน่วยงานของท่าน เพื่อป้องกันการถูกแอบอ้างและแสดงความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า และขอให้มีการสืบสวนสอบสวนเอาผิดทางวินัยและกฎหมายกับบุคคลที่ดัดแปลง/ปลอมแปลงหนังสือเพื่อกลั่นแกล้งข้าพเจ้าและชาวบ้านให้ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีดังกล่าว ๘ กันยายน ๒๕๕๙ มีหนังสือสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร ๐๑๐๕.๐๒/๔๖๗๘๑ ลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๙ ส่งถึงนายวีระพงษ์ ส่านสิงห์ (ไปดูวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๙) ๙ กันยายน ๒๕๕๙ หนังสือกลุ่มฮักบ้านฮั่นแน้ว ที่ ฮ ๐๙-๐๙-๕๙(๑) ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๙ ส่งถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องขอชี้แจ้งข้อเท็จจริง ตามที่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือตามอ้างถึง ส่งถึงนายวีรพงษ์ส้านสิงห์ โดยระบุว่าได้ทำหนังสือร้องเรียน ขอให้ตรวจสอบการบุกรุกทำประโยชน์ในพื้นที่ป่า อำเภอปากชม จังหวัดเลย กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี นั้น ราษฎรบ้านคอนสา หมู่ ๔ และบ้านสาธร หมู่ ๑๐ ในนามกลุ่มฮักบ้านฮั่นแน้ว ขอชี้แจ้งข้อเท็จ ดังนี้ ในพื้นที่บ้านคอนสา หมู่ ๔ และบ้านสาธร หมู่ ๑๐ ได้มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งยื่นคำขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ถ่านหิน ซึ่งได้ทำการรังวัดปักหมุดและจัดทำแผนที่ประกอบการยื่นคำขอประทานบัตรในที่ดินทำกินของราษฎรทั้งสองหมู่บ้านโดยพลการ ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ทำการแจ้งและขออนุญาตใช้พื้นที่จากเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด และในที่ดินดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ และกฎกระทรวงฉบับที่ ๗๕๐ (๒๕๑๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ (ป่าภูเขาแก้วและป่าดงปากชม) แต่ก็ได้รับความอะลุ่มอล่วยจากหน่วยงานราชการ ให้ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านทำกินในที่ดินได้ดังเดิม เพราะเห็นว่าชาวบ้านอยู่กินกันมานาน ก่อนการประกาศใช้กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านก็ทำกินในที่ดินดังกล่าวโดยสงบ ไม่เคยมีข้อเดือดร้อนหรือข้อขัดแย้ง หรือข้อกล่าวหาว่ามีความผิดทางกฎหมายใดๆ และในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๙ ชาวบ้านคอนสา หมู่ ๔ และบ้านสาธร หมู่ ๑๐ และผู้ใหญ่บ้านทั้งสองหมู่บ้านได้จัดเวทีประชาคมหมู่บ้าน เรื่องการลงมติเกี่ยวกับการขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่จากบริษัทต่าง ๆ ในพื้นที่ตำบลเชียงกลม อำเภอปากชม จังหวัดเลย ขึ้น และได้เชิญหน่วยงานราชการเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในเวทีประชาคมดังกล่าว ซึ่งได้ขอความร่วมมือนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคอนสา เดินทางไปส่งหนังสือเชิญให้แก่หน่วยงานราชการในจังหวัดเลยให้รับทราบและเข้าร่วมในเวทีประชาคม ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ซึ่งเป็นหนังสือขอเรียนเชิญเข้าร่วมเป็นสักขีพยานเวทีประชาคมหมู่บ้านและการลงมติเกี่ยวกับการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวกับการขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ถ่านหินดังกล่าว ซึ่งคาดว่าอาจมีการดัดแปลง/ปลอมแปลงเอกสารหนังสือดังกล่าวส่งไปยังหน่วยงานของท่าน เพื่อกลั่นแกล้งชาวบ้านให้ได้รับความเดือนร้อน และทำให้ผู้นำหมู่บ้านเกิดความแตกแยกกันกับชาวบ้านในพื้นที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๙ หนังสือนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ เขียนที่ ๑๘๖ หมู่ ๔ บ้านคอนสา ต.เชียงกลม อ.ปากชม จ.เลย ส่งถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงและขอสำเนาหนังสือที่เกี่ยวข้อง ตามที่มีหนังสือแจ้งว่าเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ โดยระบุว่าข้าพเจ้าได้ทำหนังสือร้องเรียนกราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี ขอให้ตรวจสอบการบุกรุกทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าอำเภอปากชม จังหวัดเลย นั้น ข้าพเจ้า นายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องราวในหนังสือใด ๆ ทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับการกล่าวอ้างว่า ข้าพเจ้าได้ทำหนังสือร้องเรียนลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ ขอให้ตรวจสอบการบุกรุกทำประโยชน์ในพื้นที่ป่า อำเภอปากชม จังหวัดเลย ต่อท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจเป็นการแอบอ้างในการใช้ชื่อส่งหนังสือไปยังหน่วยงานของท่าน ซึ่งหนังสือที่ข้าพเจ้าได้เดินทางไปส่งยังหน่วยต่างๆ ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย นายอำเภอปากชม อุตสาหกรรมจังหวัดเลย หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลย.๑๑ (ชมน้อย) ผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่น และผู้นำหมู่บ้านในตำบลเชียงกลม เพื่อขอเรียนเชิญเข้าร่วมเป็นสักขีพยานเวทีประชาคมหมู่บ้านและการลงมติเกี่ยวกับการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ซึ่งลงวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ เช่นกัน ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๒ ซึ่งราษฎรบ้านคอนสา หมู่ ๔ และบ้านสาธร หมู่ ๑๐ และผู้ใหญ่บ้านทั้งสองหมู่บ้านได้ประสานให้ข้าพเจ้าเดินทางไปส่งหนังสือให้แก่หน่วยงานดังกล่าวเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในเวทีประชาคมหมู่บ้านเนื่องจากในพื้นที่ทั้งสองหมู่บ้านได้มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งยื่นคำขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ถ่านหิน ซึ่งได้ทำการรังวัดปักหมุดและจัดทำแผนที่ประกอบการยื่นคำขอประทานบัตรในที่ดินทำกินของราษฎรทั้งสองหมู่บ้านโดยพลการ ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ทำการแจ้งและขออนุญาตใช้พื้นที่จากเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด และในที่ดินดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ และกฎกระทรวงฉบับที่ ๗๕๐ (๒๕๑๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ (ป่าภูเขาแก้วและป่าดงปากชม) แต่ก็ได้รับความอะลุ่มอล่วยจากหน่วยงานราชการให้ชาวบ้านทำกินในที่ดินได้ เพราะเห็นว่าชาวบ้านอยู่กินกันมานาน ก่อนการประกาศใช้กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านก็ทำกินในที่ดินดังกล่าวโดยสงบ ไม่เคยมีข้อเดือดร้อนหรือข้อขัดแย้ง หรือข้อกล่าวหาว่ามีความผิดทางกฎหมายใดๆ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับการขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ดังกล่าว คาดว่าอาจจะมีการดัดแปลง/ปลอมแปลงหนังสือเพื่อกลั่นแกล้งข้าพเจ้าให้ได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านในพื้นที่ และทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ซึ่งเป็นการกระทำที่จงใจทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่บ้าน ข้าพเจ้าจึงขอแจ้งกับทางหน่วยงานของท่านว่าไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้นในหนังสือที่กล่าวอ้างมาข้างต้น และเกิดข้อสงสัยว่าหนังสือที่ส่งไปนั้นมีเนื้อความในหนังสือและลายเซ็นต์ในหนังสือนำส่งเป็นของข้าพเจ้าจริงหรือไม่ซึ่งในฐานะที่ข้าพเจ้าถูกแอบอ้างในหนังสือ จึงขอคัดลอกสำเนาหนังสือร้องเรียนดังกล่าว และขอสำเนาต้นทางไปรษณีย์ที่หนังสือฉบับนี้ได้ส่งไปยังหน่วยงานของท่าน เพื่อป้องกันการถูกแอบอ้างและแสดงความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า ๙ กันยายน ๒๕๕๙ ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านและนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ เดินทางไปพูดคุยกับหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าไม้ ลย.๑๑ ชมน้อย เรื่องการขออนุญาตการใช้พื้นที่ป่าไม้ของ หจก. ไทยเจริญไมนิ่ง ว่าได้เข้ามาขออนุญาตจากทางหน่วยงานหรือไม่ และขอเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงเอกสารเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียนการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งชาวบ้านมีความสงสัยว่าหน่วยงานอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว จึงได้เดินทางมาสอบถามข้อมูลและพูดคุยในเรื่องดังกล่าว และส่วนนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ ได้เข้าไปพูดคุยและชี้แจงกรณีการถูกแอบอ้างชื่อส่งหนังสือร้องเรียนถึงปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการพาดพิงถึงหน่วยงานทำให้ได้รับความเสียหาย ๙ กันยายน ๒๕๕๙ หนังสือนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ เขียนที่ ๑๘๖ หมู่ ๔ บ้านคอนสา ต.เชียงกลม อ.ปากชม จ.เลย ส่งถึงหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลย.๑๑ (ชมน้อย) เรื่องขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงและขอสำเนาหนังสือที่เกี่ยวข้อง ตามที่มีหนังสือแจ้งว่าเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ โดยระบุว่าข้าพเจ้าได้ทำหนังสือส่งถึงปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเรื่อง การแจ้งเบาะแสการบุกรุกป่าและการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A เพื่อปลูกยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด ในพื้นที่ตำบลเชียงกลม อำเภอปากชม จังหวัดเลย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ นั้น ข้าพเจ้า นายวีรพงษ์ส้านสิงห์ขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบเรื่องราวในหนังสือใด ๆ ทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับการกล่าวอ้างว่า ข้าพเจ้าได้ทำการแจ้งเบาะแสการบุกรุกพื้นที่ป่าและการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑ A ต่อปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจเป็นการแอบอ้างในการใช้ชื่อส่งหนังสือไปยังหน่วยงานของท่าน ซึ่งหนังสือที่ข้าพเจ้าได้เดินทางไปส่งยังหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลย.๑๑ (ชมน้อย) เป็นเพียงหนังสือขอเรียนเชิญเข้าร่วมเป็นสักขีพยานเวทีประชาคมหมู่บ้านและการลงมติเกี่ยวกับการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เท่านั้น ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย ๒ ซึ่งราษฎรบ้านคอนสา หมู่ ๔ และบ้านสาธร หมู่ ๑๐ และผู้ใหญ่บ้านทั้งสองหมู่บ้านได้ประสานให้ข้าพเจ้าเดินทางไปส่งหนังสือให้แก่หน่วยงานดังกล่าวเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในเวทีประชาคมหมู่บ้าน เนื่องจากในพื้นที่ทั้งสองหมู่บ้านได้มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งยื่นคำขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ถ่านหิน ซึ่งได้ทำการรังวัดปักหมุดและจัดทำแผนที่ประกอบการยื่นคำขอประทานบัตรในที่ดินทำกินของราษฎรทั้งสองหมู่บ้านโดยพลการ ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้ทำการแจ้งและขออนุญาตใช้พื้นที่จากเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด และในที่ดินดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ และกฎกระทรวงฉบับที่ ๗๕๐ (๒๕๑๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ (ป่าภูเขาแก้วและป่าดงปากชม) แต่ก็ได้รับความอะลุ่มอล่วยจากหน่วยงานราชการให้ชาวบ้านทำกินในที่ดินได้ เพราะเห็นว่าชาวบ้านอยู่กินกันมานาน ก่อนการประกาศใช้กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านก็ทำกินในที่ดินดังกล่าวโดยสงบ ไม่เคยมีข้อเดือดร้อนหรือข้อขัดแย้ง หรือข้อกล่าวหาว่ามีความผิดทางกฎหมายใดๆ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจมีความเกี่ยวข้องกับการขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ดังกล่าว คาดว่าอาจจะเป็นการกลั่นแกล้งให้ข้าพเจ้าได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่จงใจทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่บ้าน ข้าพเจ้าจึงขอออกมาแก้ไขข้อมูลว่าไม่ได้ดำเนินการใดๆทั้งสิ้นในหนังสือที่กล่าวอ้างมาข้างต้น และเกิดข้อสงสัยว่าหนังสือที่ส่งไปนั้นเนื้อความในหนังสือและลายเซ็นต์ในหนังสือนำส่งเป็นของข้าพเจ้าจริงหรือไม่ซึ่งมีข้อพิรุธหลายประการ คือ ๑.ชื่อและนามสกุลไม่ถูกต้อง๒.ที่อยู่ไม่ถูกต้อง ๓.รหัสไปรษณีย์ไม่ถูกต้อง ในฐานะที่ข้าพเจ้าซึ่งถูกแอบอ้างในหนังสือจึงขอสำเนาหนังสือที่ส่งในการแจ้งเบาะแสการบุกรุกดังกล่าว และขอสำเนาต้นทางไปรษณีย์ที่หนังสือฉบับนี้ส่งไปยังหน่วยงานของท่าน เพื่อป้องกันการถูกแอบอ้างและแสดงความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า และขอให้มีการสืบสวนสอบสวนเอาผิดทางวินัยและกฎหมายกับบุคคลที่ดัดแปลง/ปลอมแปลงหนังสือเพื่อกลั่นแกล้งข้าพเจ้าและชาวบ้านให้ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีดังกล่าว ๑๙ กันยายน ๒๕๕๙ หนังสือสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ทส ๐๒๐๖.๒/๕๘๓๗ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๙ ส่งถึงนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ เนื้อหาว่า ตามที่ท่านได้มีหนังสือลงวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๙ ถึงสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อชี้แจงว่า ท่านไม่ได้มีหนังสือแจ้งเบาะแสการบุกรุกพื้นที่ป่าและการบุกรุกพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น ๑A ตามที่สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีหนังสือ ลับ ที่ ทส ๐๒๐๖.๒/๕๕๒ ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ แจ้งผลการดำเนินการให้ท่านทราบแต่อย่างใด โดยท่านเกรงว่า หนังสือร้องเรียนฉบับดังกล่าวเป็นการแอบอ้างชื่อท่านเพื่อกลั่นแกล้ง ทำให้ท่านได้รับความเสียหายและไม่ได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงต้องการสร้างความแตกแยกภายในหมู่บ้าน ซึ่งท่านเห็นว่า การกระทำดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาพิพาทจากการยื่นขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ถ่านหินของบริษัทเอกชน เนื่องจากผู้นำหมู่บ้านได้มีการจัดประชาคมหมู่บ้านและการลงมติเกี่ยวกับการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัทดังกล่าว โดยมีท่านเดินทางไปส่งหนังสือเชิญหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ลย.๑๑ (ชมน้อย) เพื่อขอให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน นั้น สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้พิจารณาแล้ว ขอเรียนว่า เพื่อเป็นการแสดงการยืนยันตัวตน จึงขอให้ท่านส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมทั้งรับรองสำเนาถูกต้องมาให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อจะได้นำมาใช้ในการประกอบการพิจารณาต่อไป จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ หนังสือนายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ เขียนที่ ๑๘๖ หมู่ ๔ บ้านคอนสา ต.เชียงกลม อ.ปากชม จ.เลย ส่งถึงสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงและขอสำเนาหนังสือที่เกี่ยวข้อง เนื้อหาว่า ตามที่สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีหนังสือลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๙ ส่งถึงข้าพเจ้า แจ้งว่าสำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ทำการพิจารณาแล้ว เรียนว่า เพื่อเป็นการแสดงการยืนยันตัวตน จึงขอให้ข้าพเจ้าส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมรับรองสำเนาถูกต้องให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อจะได้นำมาใช้ในการประกอบการพิจารณาต่อไป นั้น ข้าพเจ้า นายวีรพงษ์ ส้านสิงห์ ได้ส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมรับรองสำเนาถูกต้องมายังหน่วยงาน และขอเรียนถามข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ ๑. การที่หน่วยงานได้มีหนังสือขอสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของข้าพเจ้านั้น เหตุใด ทำไมจึงต้องการสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งต้องการใช้เป็นหลักฐานในเรื่องใด ๒. ตามที่มีการปลอมแปลงเอกสารและแอบอ้างชื่อของข้าพเจ้า ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงาน ข้าพเจ้าขอทราบว่าหนังสือที่ท่านได้รับฉบับดังกล่าว ได้มีการส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไปพร้อมกันด้วยหรือไม่ ซึ่งการที่หน่วยงานได้ขอสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อนำไปเทียบเคียงหรือไม่ อย่างไร จ