4 May 2017
1119
( ขอบคุณภาพ จากไทยพีบีเอส ) 3 ปีแล้วที่นายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ที่ด่านเขามะเร็ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเจ้าหน้าที่อ้างว่าบิลลี่มีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง หลังจากนั้นบิลลี่ได้หายตัวไปโดยไม่ทราบชะตากรรมจนกระทั่งปัจจุบัน บิลลี่เป็นนักปกป้องสิทธิชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านบางกลอย และผู้ช่วยทนายความในคดีที่ชาวบ้านบางกลอยยื่นฟ้องศาลปกครองกลาง กรณีที่เจ้าหน้าที่เข้ารื้อทำลาย เผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านบางกลอยในป่าแก่งกระจานเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 เพื่อผลักดันให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ แม้จะปรากฏผลการศึกษายืนยันว่าชาวบ้านเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลาร่วมกว่า 100 ปีแล้ว ขณะที่บิลลี่หายตัวไปนั้นอยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูลเพื่อต่อสู้คดีดังกล่าว หลังจากที่บิลลี่หายตัวไป ครอบครัวได้พยายามเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องให้มีการสืบสวนสอบสวนหาตัวบิลลี่และนำตัวผู้กระทำมาลงโทษ ผ่านการใช้กลไกทางกฎหมายหลากหลายช่องทาง แต่ผ่านไป 3 ปี กระบวนการยุติธรรมยังหยุดชะงักอยู่ที่ชั้นสอบสวน ที่ผ่านมาภรรยาของบิลลี่ได้ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้ามาดำเนินการสืบสวนสอบสวนในกรณีนี้ แต่เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีหนังสือ ลงวันที่ 16 มกราคม 2560 ถึงนางสาวพิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่ แจ้งว่าคณะกรรมการคดีพิเศษมีมติไม่รับกรณีการหายตัวไปของบิลลี่เป็นคดีพิเศษ โดยมติดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมวันที่ 10 มิถุนายน 2559 หรือราว 7 เดือนที่แล้ว เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมการแจ้งเรื่องดังกล่าวถึงล่าช้าตั้ง 7 เดือน แม้ล่าสุดในระหว่างที่ประเทศไทยต้องไปรายงานการปฏิบัติการต่อพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPRที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีข่าวว่านายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ดีเอสไอ ดำเนินการสืบสวนคดีทนายสมชายและคดีบิลลี่ต่อไป แต่ก็ยังไม่มีเอกสารที่เป็นทางการออกมายื่นยัน อีกทั้งเหตุผลของการไม่รับกรณีบิลลี่เป็นคดีพิเศษ โดยการอ้างว่าการสืบสวนดำเนินมาเป็นเวลานานแล้วไม่มีความคืบหน้าก็ดี หรือการอ้างว่านางสาวพิณนภา พฤกษาพรรณ ผู้ยื่นคำร้อง ไม่ใช่ภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของบิลลี่ จึงไม่เป็นผู้เสียหายที่มีสิทธิยื่นคำร้องก็ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลและเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการเข้าถึงความยุติธรรมของเหยื่อที่ถูกบังคับสูญหาย อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยต้องไปรายงานการปฏิบัติการต่อพันธกรณีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีข่าวว่านายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการสืบสวนคดีบิลลี่ต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่ปรากฎเอกสารที่เป็นทางการว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับคดีบิลลี่เป็นคดีพิเศษ ซึ่งจะต้องมีการติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมามีสิ่งน่ากังวลเกิดขึ้น เมื่อร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. … ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (CED) ร่างกฎหมายดังกล่าวดำเนินการร่างขึ้นโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ด้วยความร่วมมือจากหลายฝ่ายมานานหลายปี ผ่านการรับฟังความคิดเห็นหลายครั้ง ร่างกฎหมายนี้ถือเป็นความหวังในการเข้าถึงความยุติธรรมของเหยื่อที่ถูกบังคับสูญหายและครอบครัว แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวกลับถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตีกลับไป โดยอ้างว่าไม่มีการรับฟังความเห็นที่รอบด้าน เป็นที่น่าสังเกตว่า ร่างพระราชบัญญัติที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนหลายฉบับ สามารถออกมาได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายภายใต้สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ถูกแต่งตั้งขึ้นภายใต้รัฐบาลทหาร แม้จะมีเสียงคัดค้านมากมาย อาทิ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจในการรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านดังเช่นร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ประเทศไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีแกนนำชาวบ้าน นักเคลื่อนไหว นักต่อสู่เพื่อสิทธิมนุษยชน ถูกคุกคาม สังหาร บังคับให้หายสาบสูญอยู่เสมอๆ การบังคับให้บุคคลหายสาบสูญถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหรือญาติมักจะไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ ดังจะเห็นได้จากที่ผ่านมารัฐยังไม่ประสบความสำเร็จในการค้นหาความจริงเพื่อทราบชะตากรรมของผู้ถูกบังคับสูญหาย รวมทั้งนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและลงโทษอย่างเหมาะสมได้ กรณีของทนายสมชาย นายบิลลี่ และนายเด่น คำแหล้ประธานโฉนดชุมชนโคกยาวที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559 เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในอีกหลายกรณี ซึ่งความล้มเหลวในการค้นหาความจริงดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข้อจำกัดทางกฎหมายของประเทศไทย ที่ยังไม่ได้กำหนดให้การบังคับสูญหายเป็นความผิดทางอาญา รวมถึงขาดกลไกในการค้นหาความจริงที่เป็นอิสระ และมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบังคับสูญหายและเร่งค้นหาความจริงต่อการสูญหายอย่างเร่งด่วน ดังต่อไปนี้