4 May 2017
1192
เผยแพร่ วันที่ 29 มีนาคม 2560 สืบเนื่องจากกรณีเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนสงครามยิงนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมทางสังคม และประธานเครือข่ายเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมืองเสียชีวิต เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา และต่อมามีการกล่าวหาว่านายชัยภูมิ ป่าแส มียาเสพติดไว้ และมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ต่อสู้ขัดขวางการจับกุมและพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่นั้น มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ได้ร่วมกันจัดตั้ง”คณะทำงานเพื่อให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายและคดี” แก่ผู้เสียหายในกรณีดังกล่าวขึ้น ประกอบด้วยทนายความนักกฎหมายและนักสิทธิมนุษยชน โดยตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการฆ่านอกระบบกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ (Extra judicial killings) ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรมอย่างร้ายแรง ขัดต่อหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด” (พิจารณาประกอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 4) ตามหลักการดังกล่าวนอกจากเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา โดยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือดำเนินคดีอาญาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำความผิดแล้ว ยังเป็นหลักการสำคัญที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องนำผู้ที่ถูกกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ตามกฎหมาย และเป็นการป้องกันการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการใดๆ ต่อผู้ต้องสงสัยหรือผู้ถูกกล่าวหาตามอำเภอใจของตน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเป็นระบบแทนที่กระบวนการยุติธรรมหรือที่เรียกว่า”ศาลเตี้ย” ทั้งนี้ การปราบปรามยาเสพติดของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ต้องดำเนินการภายใต้กรอบแห่งกฎหมาย หลักนิติธรรมและการเคารพสิทธิมนุษยชน รัฐโดยผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าหน่วยงาน ต้องดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของตน และไม่ควรแสดงอาการชื่นชมหรือกล่าวในเชิงให้ท้ายหรือสนับสนุนการใช้วิธีการรุนแรงหรือละเมิดกฎหมาย และควรมีการสอบสวนดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ เพื่อรักษามาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความระมัดระวังต่อไป องค์กรสิทธิมนุษยชนดังมีรายชื่อดังกล่าวข้างต้นและคณะทำงานให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายและคดี มีความเห็นว่า