Advertisement

Banner 600x250 px

Advertise with us

ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

บทเฉพาะกาลในร่างกฎหมายแร่ ฟอกสัมปทานผูกขาดที่ ‘ผิด’ ให้เป็น ‘ถูก’

บทเฉพาะกาลในร่างกฎหมายแร่  ฟอกสัมปทานผูกขาดที่ ‘ผิด’ ให้เป็น ‘ถูก’

24 November 2016

1238

( ขอบคุณภาพจาก : http://transbordernews.in.th/home/?p=9998 ) เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ 17 พฤศจิกายน 2559 Mining zone : ไมนิ่งโซนหรือ ‘เขตทรัพยากรแร่’ มีพัฒนาการมาเป็นลำดับในกฎหมายแร่ฉบับที่ผ่าน ๆ มา เพราะปัญหาใหญ่ของการนำแร่ขึ้นมาใช้ ก็คือ แหล่งแร่อาจจะพบอยู่ภายใต้พื้นที่ซึ่งมีข้อจำกัดการใช้พื้นที่ตามกฎหมายและกฎระเบียบอื่น ๆ ซึ่งทำให้การขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่หวงห้ามเหล่านี้เพื่อการทำเหมืองแร่ก็มีอุปสรรคมาตลอดทุกยุคสมัย จากปัญหาการพัฒนาทรัพยากรแร่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่สาม (พ.ศ. 2515- 2519) ที่ไม่อาจขยายตัวเพิ่มขึ้นได้มากทำให้รัฐบาลต้องแก้ไขกฎหมายแร่ฉบับที่ยังใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน คือ พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2516ด้วยการเพิ่มเติมมาตรา 6 ทวิ เข้ามาเนื่องจากว่ากฎหมายแร่ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นไม่อาจเร่งรัดและส่งเสริมการสำรวจและการผลิตแร่ให้ได้ผลและอำนวยประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ตามที่วางแผนไว้จึงได้เพิ่มเติมมาตรา 6 ทวิ เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถทำสัญญาสัมปทานผูกขาดกับรัฐได้ เนื่องจากระบบสัมปทานปกติตามกฎหมายแร่ที่ใช้บังคับอยู่มีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดพื้นที่ อายุสัมปทานคุณสมบัติของผู้ขอสัมปทาน หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการลงทุนในพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ระบบสัมปทานผูกขาดทำให้ข้อจำกัดของระบบสัมปทานปกติตามกฎหมายแร่หมดไป กล่าวคือ ระสัมปทานผูกขาดได้เปิดโอกาสให้รัฐและเอกชนสามารถทำสัญญาผูกขาดต่อกันเพื่อดำเนินการสำรวจและผลิตแร่ใดก็ได้ที่เป็นเป้าหมายในพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นการทำสัญญาจับจองพื้นที่แหล่งแร่เพื่อการ ‘สำรวจ’ และ ‘ผลิต (หรือทำเหมืองแร่)’ ล่วงหน้าไว้ก่อนทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับอาชญาบัตรให้สำรวจแร่และประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่แต่อย่างใด แต่การทำสัญญาเช่นนี้เป็นการผูกขาดแหล่งแร่ชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่มีขนาดใหญ่มากกว่าที่ระบบสัมปทานปกติตามกฎหมายแร่จะอนุญาตให้สัมปทานได้เอาไว้ให้แก่เอกชนที่ทำสัญญา เพื่อรับประกันไม่ว่ากรณีใด ๆ ว่ารัฐจะเอื้อประโยชน์ให้ถึงที่สุดให้เอกชนที่ทำสัญญาได้รับอาชญาบัตรและประทานบัตรอย่างแน่นอน โดยไม่กำหนดวันสิ้นสุดสัญญาหากแม้ยังไม่ได้รับสัมปทานที่เป็นอาชญาบัตรสำรวจแร่หรือประทานบัตรทำเหมืองแร่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม เช่น การประท้วงคัดค้านโครงการของประชาชน หรือความล่าช้าในระบบราชการที่เกิดจากบุคลากร องค์กร ระบบหรือตัวบทกฎหมายที่มีข้อจำกัดการใช้พื้นที่ตามกฎหมายหลายฉบับขัดกัน เป็นต้น ระบบสัมปทานผูกขาดก็จะคุ้มครองพื้นที่แหล่งแร่นั้นไว้ให้กับเอกชนที่ทำสัญญาโดยไม่กำหนดวันสิ้นสุดสัญญา และเนื่องจากระบบสัมปทานผูกขาดได้เปิดโอกาสให้เอกชนจับจองพื้นที่แหล่งแร่เป็นแปลงขนาดใหญ่มาก เช่น สัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตชในจังหวัดอุดรธานี คลุมพื้นที่ 2,333 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1.5 ล้านไร่ ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมทรัพยากรธรณีกับบริษัท ไทยอะกริโกโปแตช จำกัด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2527ได้ทำให้แร่โปแตชทั้งหมดในขอบเขตพื้นที่แหล่งแร่ตามสัญญาเป็นของบริษัท ไทยอะกริโกโปแตช จำกัด แต่เพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โปแตชกี่ครั้งหรือนานเพียงใดก็ตาม เพราะเป็นสัญญาที่ไม่กำหนดวันสิ้นสุดสัญญาหรือไม่กำหนดวันสิ้นสุดอายุสัมปทาน ปี พ.ศ. 2522 ในช่วงของการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่สี่ (พ.ศ. 2520- 2524) มีการแก้ไขมาตรา 6 ทวิ อีกครั้งหนึ่ง และเพิ่มเติมมาตรา 6 จัตวา เข้ามาด้วย เพื่อต้องการให้สภาพการใช้ระบบสัมปทานผูกขาดไปขยายการพัฒนาทรัพยากรแร่ให้กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้มีการขยายตัวมากยิ่งขึ้น โดยเล็งเห็นความสำคัญว่าระบบสัมปทานผูกขาดจะสามารถขยายตัวได้ก็ต่อเมื่อมีพื้นที่หรือเขตทรัพยากรแร่แปลงใหญ่ ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่สามารถนำแหล่งแร่ที่พบอยู่ในพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายอื่นมาใช่้ประโยชน์ได้ โครงการสำคัญที่ใช้เงื่อนไขของมาตรา 6 จัตวา ก็คือ โครงการเปิดประมูลเพื่อพัฒนาเหมืองแร่ทองคำเป็นโครงการขนาดใหญ่ พื้นที่เลย-อุดรธานี-หนองคาย โดยมีผู้ได้รับสัญญาให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 จำนวน 4 ราย ได้แก่ (1) บริษัท ผาคำเอ็กซ์พลอเรชั่นแอนด์ไมนิ่ง จำกัด แปลง 1 พื้นที่ 253,930 ไร่ (2) บริษัท ผาทองเอ็กซ์พลอเรชั่น แอนด์ ไมนิ่ง จำกัด แปลง 2 พื้นที่ 798,914 ไร่ (3) บริษัท ภูเทพ จำกัด แปลง 3 พื้นที่ 694,070 ไร่ และ (4) บริษัท ทุ่งคำ จำกัด แปลง 4 พื้นที่ 426,297 ไร่รวมพื้นที่ให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำตามเงื่อนไขของมาตรา 6 จััตวา ทั้งหมด 2,173,211 ไร่ ผลสำเร็จของการให้สัมปทานตามมาตรา 6 จัตวา ก็คือบริษัท ทุ่งคำ จำกัด สามารถเปิดทำเหมืองแร่ทองคำได้ 6 แปลง พื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่ บริเวณภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอนในเขต ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย เมื่อปี พ.ศ. 2545และเริ่มดำเนินการผลิตหลังจากที่ได้รับใบอนุญาตก่อตั้งโรงงานเมื่อปี พ.ศ. 2549 และยังมีพื้นที่ที่ขอประทานบัตรจับจองไว้แล้วอีก 106 แปลง ประมาณ 30,000 กว่าไร่แต่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าไม้และติดอยู่ในส่วนของพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอและบี จึงทำให้การดำเนินการขอประทานบัตรในแปลงเหล่านี้มีอุปสรรคปัญหาและความยุ่งยากเป็นอย่างมากที่ต้องขออนุญาตใช้พื้นที่ตามกฎหมายป่าไม้และขออนุมัติจากมติคณะรัฐมนตรีอีกชั้นหนึ่ง จึงทำให้ไมนิ่งโซนในมาตรา 6 จัตวา เกิดอาการสะดุด ไม่สามารถเป็นไมน่ิงโซนได้ตามประสงค์ เพราะไม่เอื้อประโยชน์ให้มีการนำทรัพยากรแร่ในพื้นที่ป่าไม้และพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายอื่นออกมาใช้ประโยชน์ได้ง่ายเท่าที่ควร เพราะติดเงื่อนไขว่าพื้นที่ใดที่ได้ทำการสำรวจแล้วปรากฎว่ามีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงให้กันออกจากเขตป่าไม้และพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายอื่นเพื่อนำมาออกสัมปทานทำเหมืองแร่เป็นอันดับแรกก่อนการสงวนหวงห้ามได้ หากพื้นที่นั้นมิใช่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม ความพยายามในการแก้ไขความผิดพลาดของระบบสัมปทานผูกขาดให้ถูกต้อง ระบบสัมปทานผูกขาดใน ‘สัญญาว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง’ ระหว่าง กรมทรัพยากรธรณี กับ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด และกับ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534 ทำให้บริษัท ทุ่งคำ จำกัด สามารถเปิดทำเหมืองแร่ทองคำได้ 6 แปลง พื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่ บริเวณภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอน ในเขต ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย ได้ เป็นผลมาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2530 ที่ได้กำหนดนโยบายว่าด้วยการสำรวจและพัฒนาแร่ทองคำ และตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2532 ที่อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมออกอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษและประทานบัตรสำหรับการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่จังหวัดเลย จังหวัดหนองคายและบริเวณใกล้เคียง แม้แต่ ‘สัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตชในจังหวัดอุดรธานี’ คลุมพื้นที่ 2,333 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1.5 ล้านไร่ ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมทรัพยากรธรณีกับบริษัท ไทยอะกริโกโปแตช จำกัด เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ก็เป็นผลจากมติคณะรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน ทั้งสองสัญญาฯดังกล่าวเป็นสัญญาให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ในพื้นที่ขนาดใหญ่มาก คำถามที่สำคัญก็คือการทำสัญญาฯบนพื้นที่ขนาดใหญ่ระดับนี้กระทำภายใต้บทบัญญัติใดของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ที่เป็นกฎหมายหลักในการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการเงื่อนไขและคุณสมบัติการให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทุกชนิดและขนาด ตามความเป็นจริงแล้วพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ได้เปิดโอกาสให้มีการขอ ‘สัมปทานสำรวจแร่’หรือที่เรียกว่าอาชญาบัตร และ ‘สัมปทานทำเหมืองแร่’ หรือที่เรียกว่าประทานบัตร ในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้เช่นกัน ซึ่งปรากฏเนื้อหาอยู่ในมาตรา 6 ทวิ และมาตรา 6 จัตวา แต่มีเนื้อหาสาระสำคัญที่แตกต่างจากสองสัญญาฯดังกล่าว 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก ‘การสำรวจ’ และ ‘ทำเหมือง’ มีลักษณะต่างกรรมต่างวาระ หรือมีลักษณะเป็น ‘ขั้นตอน’ อันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนด หมายถึงว่าผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในกิจการเหมืองแร่จะต้องขอและได้สัมปทานสำรวจแร่ก่อน หลังจากที่สำรวจเสร็จและพบว่ามีแร่ในเชิงพาณิชย์ที่พร้อมจะลงทุนก็จะต้องขอและได้สัมปทานทำเหมืองแร่ในลำดับขั้นตอนต่อไป ไม่ใช่ทำสัญญาในลักษณะให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ในคราวเดียวกันเพื่อจูงใจนักลงทุน หรือทำสัญญาจับจองพื้นที่แหล่งแร่เอาไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับอาชญาบัตรให้สำรวจแร่และประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่แต่อย่างใดซึ่งการทำสัญญาเช่นนี้เป็นการขยายอำนาจในการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจแร่และทำเหมืองแร่ของเจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไปกว่าขอบเขตที่กฎหมายแร่ได้บัญญัติไว้โดยใช้อำนาจฝ่ายบริหารผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเอารัฐ--ประชาชนและระบบราชการ--ไปรับประกันความเสียหายไม่ว่ากรณีใด ๆ ว่ารัฐจะเอื้อประโยชน์ให้ถึงที่สุดให้ผู้ประกอบการที่ทำสัญญาไว้ได้รับอาชญาบัตรและประทานบัตรอย่างแน่นอน หากแม้ยังไม่ได้รับสัมปทานที่เป็นอาชญาบัตรสำรวจแร่หรือประทานบัตรทำเหมืองแร่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม สัญญาฯดังกล่าวก็จะคุ้มครองพื้นที่แหล่งแร่นั้นไว้ให้กับผู้ประกอบการที่ทำสัญญาโดยไม่กำหนดวันสิ้นสุดสัญญา ซึ่งส่งผลให้หลักขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดในกฎหมายแร่ถูกทำลายลงไปจากการกระทำของรัฐ-ราชการที่ต้องการเอื้อประโยชน์ให้ถึงที่สุดเพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทำเหมืองแร่ให้จงได้ ซึ่งจะส่งผลต่อมาให้กระบวนการพิจารณาและตรวจสอบการขอประทานบัตรเพื่อให้ได้รับการอนุมัติ/อนุญาตซึ่งมีหลายขั้นตอนหละหลวม ไม่รอบคอบรัดกุมเพียงพอ เพราะสัญญาได้ผูกมัดไว้แล้วว่าผู้ประกอบการจะต้องได้ทำเหมืองแร่ให้จงได้ ประเด็นที่สอง มาตรา 6 ทวิ และมาตรา 6 จัตวา มีข้อจำกัดเกี่ยวกับพื้นที่ที่เป็น ‘แหล่งต้นน้ำ’ หรือ ‘ป่าน้ำซับซึม’แม้ปรากฏว่ามีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงก็ไม่สามารถประกาศให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อออกประทานบัตรชั่วคราวหรือประทานบัตรได้ จะต้องคำนึงถึงการเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามก่อนเป็นอับดับแรก แต่สัญญาฯดังกล่าวกลับด้าน คือ ละเมิดหลักการของมาตรา 6 ทวิ และมาตรา 6 จัตวา ด้วยการนำพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมที่พบว่ามีแร่ทองคำมาให้สัมปทานสำรวจแร่และทำเหมืองแร่แก่ผู้ประกอบการได้ ที่น่าสนใจก็คือสัญญาฯดังกล่าวไม่ได้กระทำภายใต้บทบัญญัติมาตรา 6 ทวิ และมาตรา 6 จัตวา หรือมาตราอื่นใดของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 แต่กระทำภายใต้มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีสถานะเป็นกฎ ระเบียบและแนวทางปฏิบัติของฝ่ายบริหารเท่านั้น โดยหลักการแล้ว ไม่สมควรอย่างยิ่งที่มติ ครม. จะขัดต่อพระราชบัญญัติ เพราะมติ ครม. ไม่ใช่พระราชบัญญัติ และไม่สามารถอ้างมติ ครม. เป็นข้อยกเว้นตัวบทกฎหมายในพระราชบัญญัติซึ่งมีสถานะหรือศักดิ์สูงกว่าได้ เพราะเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับกับประชาชนทั้งประเทศไม่ใช่มติ ครม. ที่เป็นกฎ ระเบียบหรือแนวทางปฏิบัติของฝ่ายบริหารเท่านั้น ประเทศไทยที่ใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศกฎหมายจะต้องถูกตราหรือยึดโยงกับประชาชนโดยรัฐสภา แต่มติ ครม. ไม่ยึดโยงตามกระบวนการออกกฎหมายดังกล่าว คำถามสำคัญก็คือมติ ครม.ที่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติซึ่งมีศักดิ์สูงกว่า เพราะยึดโยงกับประชาชนภายใต้การออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ-ระบบรัฐสภา จะส่งผลให้สัญญาฯดังกล่าวเป็นโมฆะหรือไม่ และด้วยความผิดพลาดเช่นนี้เอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำต้องแก้ไขความผิดพลาดให้ถูกต้อง มิเช่นนั้นอาจจะถูกภาคประชาชนฟ้องร้องดำเนินคดีส่งผลเสียหายได้ในอนาคต แนวทางแก้ไขก็คือต้องทำให้รูปแบบสัญญาหรือระบบสัมปทานผูกขาดตามมาตรา 6 ทวิ และมาตรา 6 จัตวา มีความถูกต้องมากย่ิงขึ้นเพื่อป้องกันการฟ้องคดีจากภาคประชาชน ด้วยการเขียนบทเฉพาะกาลของ ‘ร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ....’ ฉบับคณะรัฐมนตรีชุดที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เอาไว้ในวรรคสองของมาตรา 188 ดังนี้ “มาตรา 188 บรรดาอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้ได้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน บรรดาข้อผูกพันตามสัญญาต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่กับรัฐบาลไทยโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้มีผลใช้บังคับต่อไป ตามข้อผูกพันแห่งสัญญานั้น ๆ ทั้งนี้ จนกว่าผลการใช้บังคับตามสัญญาจะสิ้นสุดลง ” เพียงเท่านี้ก็สามารถฟอกหลักการที่ผิดของระบบสัมปทานผูกขาดในพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ให้เป็นถูกขึ้นมาได้ และร่างกฎหมายแร่ฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาในชั้น ‘กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ....’ ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา กำลังอยู่ในช่วงจัดทำเอกสารเพื่อเตรียมนำเข้าพิจารณาในวาระสองและสามของ สนช. ภายในต้นเดือนธันวาคม 2559 นี้ เพื่อที่จะตราเป็นกฎหมายใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ที่ถูกใช้บังคับมาอย่างยาวนานครบกึ่งศตวรรษ ภายในต้นปีหน้า

Recent posts