14 September 2016
1549
*************** วันที่ 14 กันยายน 2559 เวลา 09.30 น. นางสาวมณีรัตน์ ศรีระวงศ์ษา หรือภิกษุณีอนุฬา ซึ่งเป็นหนึ่งในสามคนที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ข้อหาแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นนั้น และร่วมกันฉ้อโกง จะได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรสว่างแดนดิน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร พร้อมทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมซึ่งเป็นองค์กรที่รับให้ความช่วยเหลือทางคดีแก่ผู้ต้องหารายนี้ โดยนางสาวมณีรัตน์ ศรีระวงศ์ษา มีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่าตนได้บวชโดยถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยแห่งพุทธศาสนา ปฏิบัติศาสนากิจตามพุทธบัญญัติ จึงเป็นนักบวชที่เรียกว่าภิกษุณีโดยชอบในพุทธศาสนา มีสิทธิเสรีภาพโดยชอบในการนับถือศาสนาตามรัฐธรรมนูญและพันธกรณีระหว่างประเทศ จึงไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา คดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อปี พ.ศ. 2558 มีชายคนหนึ่งได้แจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ให้ดำเนินคดีอาญาแก่นางสาวมณีรัตน์ กับพวกรวม 3 คน ในข้อหาแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นนั้น และร่วมกันฉ้อโกง ต่อมาชายคนดังกล่าวได้ถอนแจ้งความ และพนักงานสอบสวนได้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสามในทุกฐานความผิดแล้วส่งสำนวนคดีไปยังพนักงานอัยการในปี พ.ศ. 2558 นั้นเอง กระทั่งเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 พนักงานสอบสวนได้แจ้งว่าพนักงานอัยการมีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มในข้อหาแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 208 หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ เนื่องจากเป็นข้อหาที่ไม่สามารถยอมความได้ แม้เจ้าตัวผู้แจ้งความกล่าวโทษจะได้ถอนแจ้งความไปแล้วก็ตาม ดังนั้นพนักงานสอบสวนจึงเรียกให้นางสาวมณีรัตน์ หรือภิกษุณีอนุฬา ไปพบเพื่อให้การและแสดงพยานหลักฐานยืนยันว่าได้บวชเป็นภิกษุณีโดยถูกต้อง นางสาวมณีรัตน์ ศรีระวงศ์ษา หรือภิกษุณีอนุฬา ยืนยันว่าตนอุปสมบทเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาโดยชอบด้วยพระธรรมวินัย ดังความในพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม 3 หน้า 5 ถึง หน้า 6 สิกขาบทวิภังค์ [658] “คำว่า ภิกษุณี มีอธิบายว่า .....ชื่อว่าภิกษุณีเพราะการปฏิญญาตน ชื่อว่าภิกษุณีเพราะพระพุทธเจ้าทรงบวชให้ ชื่อว่าภิกษุณี เพราะเป็นผู้อุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ .... ชื่อว่าภิกษุณี เพราะเป็นผู้ที่สงฆ์ 2 ฝ่ายพร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมที่ถูกต้องสมควรแก่เหตุ ในภิกษุณีที่กล่าวมานั้น ภิกษุณีที่สงฆ์ 2 ฝ่ายพร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมที่ถูกต้องสมควรแก่เหตุนี้ที่พระผู้มีพระภาคทรงประสงค์เอาว่า ภิกษุณี ในความหมายนี้” ซึ่งตนได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีโดยสงฆ์ 2 ฝ่าย เมื่อปี พ.ศ. 2555 ที่เวสาลีซึ่งเป็นพุทธสถานสำคัญในประเทศอินเดีย ได้รับฉายาว่า ภิกษุณีอนุฬา มีหนังสือรับรับรองการเป็นภิกษุณีซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ เรียกว่า CERTIFICATE OF FULL ORDINATION, ASIAN THERAVADA BHIKKHUNIS ASSOCIATION และเมื่อตนเป็นภิกษุณีโดยสมบูรณ์แล้ว ก็ได้อยู่จำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยที่เวสาลี ประเทศอินเดีย ดังนั้นการอุปสมบทเป็นภิกษุณีของตนจึงชอบแล้ว และเป็นไปตามความที่ว่า “.....ชื่อว่าภิกษุณี เพราะเป็นผู้ที่สงฆ์ 2 ฝ่ายพร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมที่ถูกต้องสมควรแก่เหตุ.....” ตามความในพระไตรปิฎกดังกล่าว ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม นายปรีดา นาคผิว ทนายความมูลนิธิผสานวัฒนธรรม 089-62222474 นายธนู เอกโชติ ทนายความ 086-3435569