22 August 2016
1454
เลิศศักดิ์คำคงศักดิ์ ๑๙สิงหาคม๒๕๕๙ สวัสดีครับทุกท่านรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมในงานสมัชชากป. ครั้งนี้หลายท่านในห้องนี้ก็เป็นครูผมโดยเฉพาะโครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติและมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) หลังรัฐประหารปี๒๕๕๙ผมแบกคำถามที่หนักอึ้งคำถามหนึ่งเอาไว้ว่า “ทำไมเอ็นจีโอและขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนหรือในส่วนที่เกี่ยวข้องกันเช่นองค์กรด้านสิทธิชุมชนสิทธิมนุษยชนพวกจับตานโยบายโครงการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้าข้างรัฐและทุนที่ลดทอนปิดกั้นคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนถึงอยู่ด้านตรงข้ามกับประชาธิปไตยด้วยการสนับสนุนรัฐประหาร ?” ผมพยายามคิดทบทวนเพื่อตอบคำถามนี้เรื่อยมาแต่มันตอบคำถามนี้ไม่เสร็จสักทีอาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้สนใจเพียงแค่พยายามคิดเพื่อตอบคำถามถ้าลำพังเพียงแค่ตอบคำถามก็คงเสร็จไปนานแล้วแต่ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองและองค์กรด้วยเพราะตระหนักเสมอว่า‘คิด’ กับ‘ทำ’ ต้องไปด้วยกัน ในการคิดทบทวนเพื่อหาคำตอบต่อคำถามนี้เรื่องหนึ่งที่ผมค้นพบก็คือว่าคำที่ว่า ‘ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน’ หรือคำอะไรอื่นทำนองนี้อีกเช่น‘ประชาชนต้องกำหนดอนาคตตนเอง’ ‘การพัฒนาต้องมาจากปะชาชน’ ฯลฯมันช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกินกับคำที่ว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ที่คนอย่างพวกเราชอบพูดกันมากในการถกเถียงแลกเปลี่ยนและโต้แย้งกันถึงวิกฤติปัญหาประชาธิปไตยที่เอ็นจีโอปัญญาชนสาธารณะชนชั้นกลางหรือใครก็ตามชอบใช้แก้ตัวหรือตัดบทการสนทนาเมื่อถูกกล่าวหาหรือพาดพิงว่ามีส่วนร่วมเกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมในการสนับสนุนรัฐประหารในสองครั้งล่าสุดที่ผ่านมา[2] แต่มันก็เป็นภาพสะท้อนกลับด้วยเช่นเดียวกัน ด้านหนึ่งก็คือมันเป็นอะไรที่ลึกซึ้งมาก สะท้อนความเป็นจริงได้ดีมาก เพราะคงไม่มีประชาชนคนใดอยากเอาชีวิตตัวเองทั้งหมดไปผูกอยู่กับการเลือกตั้งหรอก ชีวิตการเมืองไม่ได้มีแค่การเลือกตั้งสักหน่อย เพราะถึงแม้ดูจะเป็นระบบการเมืองที่มีพัฒนาการไปในทางที่ดีคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ดีที่สุด แต่ก็ยังกดขี่ข่มเหงขูดรีดประชาชนไม่ต่างจากระบอบการเมืองอื่นอยู่ดี อีกด้านหนึ่งก็คือถ้าบอกแบบนี้แล้วก็ต้องพยักหน้าเห็นด้วยไปพร้อมกับคำถามว่า “นั่นสิ เราจะทำยังไงให้ประชาชนที่เราทำงานอยู่เกิดความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้โดยไม่ต้องรอไม่พึ่งพิงองคาพยพองค์กรหรือสถาบันการเมืองที่สนใจแต่การเลือกตั้งเท่านั้น?” หรือ“จะทำยังไงถึงจะทำให้ประชาชนที่เราทำงานอยู่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งเท่านั้น?” พอถามคำถามนี้แล้วก็จะเกิดคำถามต่อมาว่า “เราทำอะไรกันไปแล้วบ้างที่ทำให้เห็นรูปธรรมที่แท้จริง ว่าประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง?” เมื่อสำรวจดูก็พบว่าเราทำอะไรไปตั้งมากมายเพื่อตอบคำถามนี้แต่มาตายน้ำตื้นเอาตรงประวัติศาสตร์ระยะใกล้ในช่วงสิบปีมานี้ต้องจารึกว่า ทั้งในระดับบุคคลและองค์กรที่มีส่วนผลักดันขับเคลื่อนบ้านเมืองและสังคมเพื่อตอบคำถามว่า‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ เป็นพวกที่สนับสนุนรัฐประหาร อาจจะมีผู้แย้งว่า “ทำไมเหรอมันจะอะไรกันนักกันหนากับไอ้การแค่สนับสนุนรัฐประหารไม่ได้หมายความว่าอยู่ขั้วตรงข้ามกับประชาธิปไตยสักหน่อยมันเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยอีกแง่มุมหนึ่งด้วยซ้ำ” ต้องเข้าใจไว้ด้วยว่าความหมายของคำว่ารัฐประหารตลอดยุคสมัยของการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทยนั้นมันได้รวมคำว่าอำนาจนิยม อนุรักษ์นิยม ชาตินิยมและกษัตริย์นิยมอยู่ในคำนี้ด้วยซึ่งเป็นคำที่มีความหมายไม่ดีเอาเสียเลยในสังคมไทยเพราะรัฐประหารทำให้มันแปดเปื้อนต่อให้คุณบอกว่า “ฉันไม่ได้นิยมอะไรเหล่านั้นนะ” แต่เมื่อคุณสนับสนุนรัฐประหารไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมคุณก็จะกลายเป็นฝ่ายนิยมอะไรเหล่านั้นไปโดยปริยาย มันจึงทำให้ความหมายของคำว่า‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ที่เคยมีความหมายหรือบริบทกว้างขวาง สะท้อนถึงความก้าวหน้าของขบวนประชาชนในทุกๆด้าน กลับหดแคบลงเพียงแค่ว่า รัฐประหารคือความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ หรือพูดอีกด้านหนึ่งก็คือรัฐประหารคือคุณค่าที่แท้จริงของความเชื่อความเข้าใจของคนทำงานที่พยายามทำงานเพื่อ ‘ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน’ หมายถึงว่าต้องสนับสนุนรัฐประหารเท่านั้นถึงจะไปให้ถึงความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของ ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ หรือหมายถึงว่าต้องสนับสนุนรัฐประหารเท่านั้นถึงจะไปให้ถึงความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของ ‘ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน’ นอกเหนือจากนั้นเป็นสิ่งกลวงเปล่าเพราะที่ผ่านมาที่ทำๆกันอยู่น่ะมันเห็นผลช้า หรือมองให้เลวร้ายกว่านั้นคือไม่เห็นผลอะไรเลยก็เลยต้องวิ่งเข้าหาตัวเร่งปฏิกิริยาคือ ‘รัฐประหาร’เพื่อจะทำให้เกิดสิ่งนี้ตัวเร่งปฏิกิริยารัฐประหารมันคือคำเดียวกันที่ชอบพูดกันว่า ‘รัฐประหารคือหน้าต่างแห่งโอกาส’นั่นแหละ แต่สำหรับผมเห็นตรงข้ามไม่ศรัทธาแนวทางที่วิ่งเข้าหาตัวเร่งปฏิกิริยาคือรัฐประหาร จริงๆแล้วเราทำอะไรกันตั้งเยอะแยะที่ไม่จำเป็นต้องวิ่งเข้าสู่สภาวะความย้อนแย้งไม่เป็นเหตุเป็นผลกันเช่นนี้หลักที่สำคัญมากที่เราทำกันมาก็คือมันทำให้ขบวนประชาชนที่เราทำงานด้วยเข้าใจและพัฒนาคุณค่าและความหมายของคำว่าประชาธิปไตยมาโดยตลอดนั่นคือหนึ่ง-ประชาธิปไตยในสภาหรือประชาธิปไตยที่ได้มาจากการเลือกตั้งหรือประชาธิปไตยตัวแทนสอง-ประชาธิปไตยนอกสภาหรือประชาธิปไตยมวลชนหรือประชาธิปไตยทางตรงที่มันจะต้องหาจุดสมดุลย์ระหว่างกันมาโดยตลอด ในด้านเศรษฐกิจเราก็ต่อสู้กับเศรษฐกิจกระแสหลักที่สนใจแต่จีดีพีด้วยการเสนอเศรษฐกิจสองระบบที่มีอีกด้านหนึ่งที่พึ่งพาตนเองได้รวมทั้งการพัฒนาสิทธิชุมชนให้กลายเป็นสิทธิสากลเท่าเทียมกับสิทธิมนุษยชนแต่ปัญหาคือพัฒนาการของเรามันสะดุดหยุดลง เพราะมีพวกขี้เกียจทำงานกับชุมชน มวลชน มักง่าย แต่ชอบอยู่ส่วนบนของขบวนประชาชน เป็นพวกเอ็นจีโอขุนนาง[3] ตรงนี้น่าสนใจ ผมแกะไม่ออก กำลังค่อยๆแกะว่าเหตุใดพัฒนาการเรื่องประชาธิปไตยในขบวนประชาชนที่ก้าวหน้าถึงสะดุดหยุดลง มันมีเหตุปัจจัยที่ละเอียด ลึกซึ้ง ซับซ้อน อะไรอีกที่เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างน้อยเท่าที่คิดได้ในตอนนี้ก็คือจริงๆแล้วเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมากด้วยซ้ำที่พลัง‘ประชาธิปไตยมวลชน’ มันมีศักยภาพมากที่จะควบคุมหรือสร้างสมดุลย์กับ ‘ประชาธิปไตยเลือกตั้ง’เราพบเห็นรูปธรรมเหล่านี้ได้เยอะแยะเต็มไปหมดในพื้นที่ชุมชนท้องถิ่นต่างๆที่ควบคุมอำนาจและความฉ้อฉลของการเมืองท้องถิ่นที่ได้มาจากประชาธิปไตยเลือกตั้ง จริงๆแล้วต้องใช้คำว่าชาวบ้านมีความก้าวหน้ากว่าเรามาก ส่วนเราเองที่เคยเป็นฝ่ายก้าวหน้ากลับล้าหลังคลั่งชาติ[4] ความก้าวหน้าของชาวบ้านคือเขาจับตาสอดส่องและดุลย์อำนาจประชาธิปไตยด้วยการกระทำการเองโดยเข้าไปอยู่หรือเข้าไปใช้พื้นที่ของ ‘ประชาธิปไตยเลือกตั้ง’ ด้วยตนเองรวมทั้งสร้าง/ไม่ทิ้ง‘ประชาธิปไตยมวลชน’ ทำให้มันเข้มแข็งต่อไปที่จะคานอำนาจ ‘ประชาธิปไตยเลือกตั้ง’ ให้ได้ หลักที่ชาวบ้านทำมันแปลความหมายให้เห็นความงดงามและคุณค่าที่ทรงพลังมากๆเลยก็คือเขาพยายามอยู่ตลอดเวลาที่แปรพลังจากสองมือสองเท้าของเขาให้เป็นเสียงที่มีคุณค่าให้ได้ เพราะฉะนั้นหลักการหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงมันสำคัญมากตรงนี้เพราะมันแปรเสียงออกมาจากสองมือสองเท้าของประชาชนมันเป็นเสียงที่ออกมาจาก‘ประชาธิปไตยมวลชน’ ที่อยู่นอกสภาเพื่อให้ไปทำหน้าที่พัฒนาประชาธิปไตยอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ในสภามันเป็นหลักการที่โคตรสันติวิธีเลยมีวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะขับเคลื่อนสังคมด้วยสันติวิธีที่สุด นอกนั้นมีแต่เสียเลือดเนื้อ ผมยังคิดว่าโดยส่วนลึกแล้วนักกิจกรรมทางสังคมปัญญาชนสาธารณะที่ทำงานเพื่อ‘ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน’ จริงๆแล้วก้าวหน้านะแต่ยอมถอยความคิดและจุดยืนของตัวเองยอมเป็นพวกเดียวกันหรือขอเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการเมืองที่ล้าหลังคลั่งชาติ[5]เพื่อจะได้สนับสนุนรัฐประหารได้อย่างแนบสนิทใจก็เพื่อเป้าหมายอะไรบางอย่างแต่ผลลัพธ์มันรุนแรงมากเพราะรัฐประหารมันได้ทำลายคุณค่าและความหมายประชาธิปไตยเสียหมดสิ้นแต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือความตกต่ำสุดขีดของขบวนประชาชนที่ก่อร่างศรัทธาในเรื่องของการ‘ลดอำนาจเพิ่มอำนาจประชาชน’คือเราทำลายประชาธิปไตยมวลชนที่เคยเป็นพลังคานอำนาจประชาธิปไตยเลือกตั้งเสียจนย่อยยับ หากจะมีผู้โต้แย้งว่า“อะไรล่ะคือสิ่งบ่งชี้ที่ว่ามากล่าวหากันเลื่อนลอยได้ไง ?” ก็กฎหมายห้ามชุมนุมนั่นไงที่ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ในรัฐบาลเผด็จการทหารคสช.แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวไม่ต้องรวมเรื่องอื่นๆอีกไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษแผนแม่บทป่าไม้ฯลฯก็แย่พอแล้วถ้าชาวบ้านชุมนุมไม่ได้ก็ไม่มีอำนาจต่อรองใดๆได้เลยหรือชุมนุมได้แต่ก็ไม่สามารถกดดันใดๆได้เลยไปกันเป็นร้อยคนแต่ใช้เครื่องเสียงควบคุมมวลชนไม่ได้แค่นี้ก็จบแล้วแทบทุกกิจกรรมทุกการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของประชาชนสามารถถูกตีความว่าเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายห้ามชุมนุมได้หมด อาจจะมีผู้โต้แย้งว่ารัฐบาลประชาธิปไตยก็ชอบกฎหมายพวกนี้นะใช่!แต่รัฐบาลประชาธิปไตยไม่สามารถออกกฎหมายบังคับกดหัวคนได้รุนแรงเช่นนี้หรอกมันสามารถมีภาวะผ่อนปรนหรือต่อรองได้มากกว่านี้ เวลาล่วงเลยมามากแล้วผมขอสรุปดังนี้ ข้อหนึ่งผมคิดว่าถ้อยคำการกระทำและความคิดที่ว่า‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ จะมีความหมายและคุณค่าก็ต่อเมื่อในขณะที่บ้านเมืองมีประชาธิปไตยที่ได้มาจากการเลือกตั้งนั่นแหละเราถึงจะมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำงานกับประชาชนเพื่อส่งเสริมคุณค่าและความหมายของวาทกรรมดังกล่าว เพื่อผลักดันให้ประชาชนมีความเข้มแข็งเป็นองค์กรหรือขบวนการที่สูงส่งและมีพลังมากเสียยิ่งกว่าองค์กรการเมืองที่เฝ้ารอแต่การเลือกตั้งเพื่อได้อำนาจรัฐมากดขี่ข่มเหงเรา ผมอยากจะเตือนสติตัวเองและทุกท่านว่าความคิดที่ไม่สอดคล้องกับการกระทำมันกัดกินเราทุกวันให้เสื่อมถอยและไร้ค่า[6] มันคือความสามานย์[7]รูปแบบหนึ่งที่คิดว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ โดยการไปสนับสนุนรัฐประหารแทนที่จะบอกว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ แล้วลงไปทำงานกับชาวบ้าน เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวบ้านจัดตั้งองค์กรชาวบ้านเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐและทุนที่มาจากการเลือกตั้งแล้วรุกรานกดขี่และเอาเปรียบเรา ทุกวันนี้คนที่บอกว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’และ‘ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน’ เป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันยังนั่งดูประชาชนถูกกดขี่ข่มเหงจากองค์กรหรือสถาบันรัฐประหารที่ทำให้ฝันคุณเป็นจริงก็ฝันที่ว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’นี่แหละเรายังนั่งงอมืองอเท้าอยู่ที่บ้านโดยไม่ลงไปทำงานกับชาวบ้านช่วยเหลือเขาเลย[8] ข้อสองอีกสิ่งหนึ่งที่คิดว่าเส้นทางของกป.อพช. และเพื่อนตลอด๓๐ปีที่ผ่านมาไม่มีหรือขาดหายไปก็คือ‘ความคิดทางการเมืองในงานที่ทำ’ หมายถึงว่า‘การทำงานพัฒนาต้องพัฒนาไปพร้อมกับความคิดทางการเมือง’ ตลอด๓๐ปีของกป.อพช. และเพื่อนไม่มีตรงนี้มันจึงทำให้การคิดวิเคราะห์สังคมเป็นแบบ‘หวังน้ำบ่อหน้า’ หรือเหมือนเห็นขอนไม้ลอยกลางทะเลเห็นอะไรก็คว้าหมดเพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด ข้อสามข้อนี้มันลอยมาอาจจะไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งที่พูดมาเลยแต่ก็ขอพูดไว้ก่อนกำลังพัฒนาความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ก็คือเห็นหลายคนในเวทีนี้พูดถึงประชารัฐกันเยอะก็อยากจะบอกว่าเป้าหมายที่แท้จริงของประชารัฐคือการกวาดต้อนประชาชนเพื่อสนับสนุนและค้ำจุนระบอบเผด็จการทหารหรือรัฐประหารเท่านั้นแหละนอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องหลอกลวง และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากก็คือความบกพร่องหรือปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งก็คือนักกิจกรรมทางสังคมปัญญาชนสาธารณะทั้งหลายมักแยกตัวเองและองค์กรตัวเองออกจากองค์กรหรือขบวนประชาชนแต่ชอบนั่งอยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนนะและชอบเก็บเกี่ยวดอกผลที่เกิดขึ้นจากขบวนประชาชนอีกด้วยแต่ไม่พยายามทำให้ตัวเองและองค์กรตัวเองเป็นเนื้อเดียวกันทั้งในแง่ร่วมทุกข์ร่วมสุขบริหารจัดการองค์กรและจัดตั้งความคิดกับองค์กรหรือขบวนประชาชน มันลอยออกไปหรือแยกส่วนออกไปจากขบวนประชาชนที่เป็นแนวหน้าที่ถูกผลักให้ขึ้นไปเสี่ยงอยู่ข้างหน้าเสมอแต่ตัวเองและองค์กรตัวเองลอยตัว[9] ข้อสี่สุดท้ายเส้นทางของประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยนั้นเต็มไปด้วยขวากหนาม กว่าที่พลเมืองแต่ละกลุ่มเพศวัยเชื้อชาติฯลฯจะมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้ต้องสูญเสียเลือดเนื้อมากมาย แต่ที่เมืองไทยฝ่ายก้าวหน้าที่เสียสละอุทิศตนเพื่อสังคมทำงานพัฒนาชนบทและชุมชนเพื่อต่อสู้กับความเอารัดเอาเปรียบและกดขี่ข่มเหงคนยากคนจนคนเล็กคนน้อยในสังคม เพื่อนำเสียงของคนเหล่านั้นขึ้นมาให้สังคมข้างนอกได้ยิน ซึ่งเป็นขบวนการที่ประดิษฐ์หรือชูคำขวัญที่ว่า ‘ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน’กลับเข้ากันได้ดีหรือเป็นพวกเดียวกันกับพวกที่ออกมาพูดว่า‘ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง’ด้วยการสนับสนุนรัฐประหาร เรายอมแม้กระทั่งสูญเสียเลือดเนื้อประชาชนเป็นร้อยคนเพื่อย้อนเวลากลับสู่อดีตอันไกลโพ้นด้วยคำถามพื้นฐานเมื่อหลายพันปีมาแล้วว่า“การออกเสียงมีความสำคัญต่อคุณยังไง?” ตรงนี้แหละที่น่าเป็นห่วงเพราะประวัติศาสตร์มันจะบันทึกไว้ว่าเรากลายเป็นตัวตลกในยุคสมัยของเรา [1] ถอดความและเรียบเรียงเพิ่มเติมจากการพูดของเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ หนึ่งในวิทยากรของเวทีประชุมสมัชชาคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ปี ๒๕๕๙ ในหัวข้อ ‘เหลียวหลัง แลหน้า ขบวนการองค์กรพัฒนาเอกชน’ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ณ ห้องประชุมอิงบุรี พักพิงอิงทางบูติกโฮเทล งามวงศ์วานซอย ๑๙ นนทบุรี ทั้งนี้ การถอดความและเรียบเรียงเพิ่มเติมทำโดยผู้พูดเอง [2] คำที่ขีดเส้นใต้เป็นคำที่เขียนเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลังเพื่ออธิบายให้เกิดความเข้าใจ เนื่องจากการพูดในเวทีประชุมสมัชชาฯเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ไม่ได้พูดในส่วนของคำที่ขีดเส้นใต้เอาไว้ [3] คำที่ขีดเส้นใต้เป็นคำที่ปรากฎอยู่ในเอกสารบทพูดของเลิศศักดิ์ที่เตรียมไว้ประกอบการพูด แต่ในเวทีประชุมสมัชชาฯเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ไม่ได้พูดในส่วนของคำที่ขีดเส้นใต้เอาไว้ [4] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3 [5] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3 และ 4 [6] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3, 4 และ 5 [7] คำที่ขีดเส้นใต้เป็นคำที่ปรากฎอยู่ในเอกสารบทพูดของเลิศศักดิ์ที่เตรียมไว้ประกอบการพูด แต่ในเวทีประชุมสมัชชาฯเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ ได้ใช้คำว่า ‘เสื่อมโทรม’ แทน ในงานเขียนชิ้นนี้ขอกลับไปใช้คำว่า ‘สามานย์’ ตามเอกสารบทพูดเดิมที่เตรียมไว้ประกอบการพูด [8] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3 - 6 [9] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 3 - 6 และ 8