12 August 2016
1035
************************* ในวันที่ 9 สิงหาคม 2559 เวลา 09.00 -16.00 นาฬิกา ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 2 ชั้นสอง ศาลจังหวัดปัตตานีกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์อีกครั้งหลังได้หลังได้สืบพยานไปทั้งสิ้นแล้ว 9 ปากตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 คดีนี้เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 519 / 2558 ระหว่าง นายยา ดือราแม กับพวกรวม 5 คน โจทก์ และกองทัพบก ที่ 1 และสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 2 จำเลย ซึ่งโจทก์ทั้งห้าเป็นชาวบ้านผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์กองกำลังเจ้าหน้าที่ทหารพรานใช้อาวุธปืนสงครามยิงเข้าใส่รถยนต์กระบะของชาวบ้านขณะเดินทางเพื่อไปละหมาดศพ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2555 เวลาประมาณ 20.30 น. ที่ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านซึ่งโดยสารในรถยนต์ดังกล่าวเสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บ 5 คน ทั้งนี้ ญาติผู้เสียชีวิตได้รับเงินเยียวยาจาก ศอ.บต. แล้ว รายละ จำนวน 7.5 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอแก่ความเสียหายที่ได้รับแล้ว แต่กรณีผู้บาดเจ็บนั้น ได้รับเงินเยียวยาจำนวน500,000-765,000 บาท ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่ได้รับ จึงได้ยื่นฟ้องโดยฟ้องกองทัพบกและสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมต่อไป แม้ว่าในห้วงเดือนเมษายน 2559 ศาลปัตตานีได้นัดไกล่เกลี่ยในคดีนี้ โดยโจทก์ทั้ง 5 ได้จัดส่งเอกสารสรุปความเสียหายของโจทก์แต่ละรายเพื่อเสนอให้แก่ฝ่ายจำเลยพิจารณาในเรื่องค่าเสียหายแล้วแต่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความกันได้จึงได้มีการนัดสืบพยานต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม 2559 โดยในวันที่ 9 สิงหาคม 2559 นี้ทนายโจทก์ขอสืบพยานฝ่ายโจทก์เพิ่มอีกหนึ่งปาก คือ นายอับดุลกอฮาร์ อาแวปูเต๊ะ ตัวแทนจากมูลนิศูนย์ทนายความมุสลิม ในนามคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีนี้ ก่อนสืบพยานปากแพทย์ผู้รักษาทางด้านร่างกายและจิตใจของโจทก์ทั้งห้าในนัดครั้งต่อไป ขอเชิญสื่อมวลชนและผู้สนใจเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของศาลตามวันและเวลาดังกล่าวข้างต้น หรือติดตามความคืบหน้าคดีได้ที่ facebook page: Cross Cultural Foundation (CrCF) ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ นายสากีมัน เบญจเดชา ทนายความ มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจังหวัดปัตตานี โทร.086-0374318 นายปรีดา นาคผิว ทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม โทร 089-6222474 ข้อเท็จจริงของคดี คดีนี้ ศาลจังหวัดปัตตานีได้สืบพยานโจทก์ทั้งห้า และบุคคลอื่นไปแล้วรวม 9 ปาก โดยศาลจังหวัดปัตตานีได้สืบพยานฝ่ายโจทก์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 สองปาก คือ นางรอสือนะห์ มารดาของโจทก์ที่ 4 และ นางหามีเนาะ มารดาของโจทก์ที่ 5 วันที่ 25 พฤษภาคม 2559 ห้าปาก คือ โจทห์ทั้งห้า และวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 เพิ่มอีกสองปาก คือ พยานโจทก์ที่สืบเพิ่ม ได้แก่ นางแอเสาะ ดอเลาะ เป็นบุตรของโจทก์ที่ 2 ซึ่งยืนยันว่าโจทก์ที่ 2 ต้องกลายเป็นคนพิการเนื่องจากถูกกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ทหารยิง ขณะอยู่ในรถยนต์ซึ่งชาวบ้านรวม 9 คน กำลังเดินทางเพื่อไปร่วมละหมาดศพ วันที่ 29 มกราคม 2555 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ซึ่งมีอาชีพเลี้ยงวัวไม่สามารถเลี้ยงวัวได้ด้วยตนเองอีกต่อไป จนต้องจ้างคนอื่นมาเลี้ยงวัวให้ และอีกปากหนึ่งคือนายหามะ บือราเฮง เบิกความว่าเป็นคนรับจ้างเลี้ยงวัวให้แก่โจทก์ที่ 2 นับตั้งแต่หลังเกิดเหตุคดีนี้เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โจทก์ที่ 2 กลายเป็นคนพิการ โดยโจทก์ทั้งห้า เบิกความต่อศาลตรงกันว่า เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2555 เวลาประมาณ 20.30 น. โจทก์ทั้งห้าร่วมรับประทานอาหารที่บ้านโจทก์ที่ 1 ซึ่งจัดงานเมาลิค เมื่อเสร็จมีนายสาหะ สาแม เชิญไปร่วมละหมาดศพที่หมู่บ้านหนึ่งต้องการคน 15 คน แต่ รวมตัวกันได้ 9 คน จึงนั่งรถกระบะของโจทก์ที่ 1 ไป เมื่อถึงทางเนินสู่ถนนสี่เลน มีเจ้าหน้าที่ทหารหนึ่งบอกให้หยุดรถ นายสาหะได้ตะโกนบอกว่า เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านจะไปละหมาดคนตาย พร้อมกับคนอื่นบนรถที่ช่วยตะโกนบอกแต่ถูกเจ้าหน้าที่ทหารพรานประจำฐานปฏิบัติการทหารพรานที่ 4302 ตำบลปุโละปุโย อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงเข้าใส่รถยนต์ของชาวบ้านซึ่งมีผู้อยู่ในรถจำนวน 9 คน ขณะกำลังเดินทางออกจากหมู่บ้านกาหยี หมู่ที่ 1 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้เพียง 500 เมตร เพื่อไปละหมาดศพ (การละหมาดขอพรให้ผู้เสียชีวิต) ที่บ้านทุ่งโพธิ์ หมู่ที่ 4 ต.ลิปะสะโง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 5 ราย ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจอบสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ที่ไปให้การกับคณะกรรมการฯ เนื่องจากเวลาในขณะนั้นโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่3 โจทก์ที่ 4 กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานี และโจทก์ที่ 5 พักรักษาอาการอยู่ที่บ้าน ทั้งนี้ ญาติผู้เสียชีวิตได้รับเงินเยียวยาจาก ศอ.บต. แล้ว รายละ จำนวน 7.5 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอแก่ความเสียหายที่ได้รับแล้ว แต่กรณีผู้บาดเจ็บนั้น ได้รับเงินเยียวยาจำนวน500,000-765,000 บาท ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่ได้รับ จึงได้ยื่นฟ้องโดยฟ้องกองทัพบกและสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมต่อไป ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลแพ่งคู่ความทั้งสองฝ่าย อาจเจรจาประนีประนอมยอมความกันได้ ก่อนศาลมีคำพิพากษาคดีเสร็จสิ้น