ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

ยื่น 40,000 รายชื่อผู้ใช้เน็ตหยุด Single Gateway หยุดกฎหมายล้วงข้อมูลส่วนบุคคล

ยื่น 40,000 รายชื่อผู้ใช้เน็ตหยุด Single Gateway หยุดกฎหมายล้วงข้อมูลส่วนบุคคล

10 July 2016

1740

วันที่ 7 กรกฎาคม 2559 ตัวแทนเครือข่ายพลเมืองเน็ตยื่น 40,000 รายชื่อ (ตัวเลข ณ วันที่ 6 กรกฎาคม 2559) ที่ร่วมกันรณรงค์ออนไลน์ผ่าน change.org “หยุด Single Gateway หยุดกฎหมายล้วงข้อมูลส่วนบุคคล” ต่อ          นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่สอง เพื่อเรียกร้องให้ชะลอการพิจารณาร่างแก้ไขพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่มีปัญหาในแง่การจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อีกทั้งจะรบกวนการทำงานของระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ปลอดภัย นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต เปิดเผยว่า ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.... หรือร่างแก้ไขพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เป็นหนึ่งใน "ชุดกฎหมายความมั่นคงดิจิทัล" ที่องค์กรภาคประชาชน 6 องค์กรและประชาชนมากกว่า 22,000 คนเคยเข้าชื่อเรียกร้องให้ชะลอการพิจารณา และรัฐบาลรับปากจะแก้ไขให้ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ เวลาผ่านไปหนึ่งปี พร้อมกับข่าวที่กระทรวงไอซีทีเสนอแนวคิด "Single Gateway" เพื่อให้ควบคุมข้อมูลจากต่างประเทศได้สะดวกขึ้น ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ดังกล่าวถูกปรับปรุงแล้วส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 21 เมษายน 2559 และคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเห็นชอบในวันเดียวกัน พร้อมทั้งส่งต่อให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาประกาศใช้เป็นกฎหมาย “วันที่ 28 เมษายน 2559 ที่ประชุม สนช. ได้พิจารณาร่างแก้ไขพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ วาระที่ 1 โดยสมาชิกสนช.จำนวนหนึ่งอภิปรายว่า เนื้อหาของกฎหมายมีข้อห้ามเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลที่ "ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน" ถือเป็นความหมายที่กว้างและมีความเปราะบางมาก อาจถูกตีความไปในลักษณะละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ แต่สนช.ก็ยังมีมติเอกฉันท์รับหลักการด้วยคะแนน 160 ต่อ 0 และส่งต่อให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างดังกล่าว และมีกำหนดส่งกลับให้ สนช.พิจารณาวาระที่ 2 และกระทรวงไอซีทีวางเป้าหมายประกาศใช้ภายในปีนี้” ทางเครือข่ายพลเมืองเน็ตจึงเรียกร้องให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ได้ทบทวนและแก้ไขร่างกฎหมาย 3 มาตราที่จะกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยพิจาณาแก้ไขร่างมาตรา 14 ให้มีความรัดกุมชัดเจน แก้ไขร่างมาตรา 15 และ 20 ให้การออกมาตรการใดๆ ที่จะกระทบสิทธิเสรีภาพโดยทั่วไปของประชาชนจะต้องผ่านกระบวนการการพิจารณาของรัฐสภาเท่านั้น และพิจารณาตัดมาตรา 20 (4) ออกจากร่าง ในวันเดียวกันนักกิจกรรมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้รวมตัวกันบริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นผลที่จะเกิดขึ้นหากมีการพิจารณาผ่านร่างแก้ไขพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับดังกล่าว ด้านนางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวย้ำถึงข้อเรียกร้องเดิมที่เคยยื่นต่อ สนช. เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่าน  ว่ามีความกังวลอย่างยิ่งต่อเนื้อหาในบางมาตรา ที่อาจปิดกั้นสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกทางอิเล็กทรอนิกส์และสิทธิในความเป็นส่วนตัวของประชาชน ซึ่งควรได้รับการส่งเสริมและการคุ้มครองตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคี  สิทธิที่จะมีเสรีภาพและสิทธิความเป็นส่วนตัวควรได้รับการคุ้มครองตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ไทยเป็นประเทศภาคีมาตั้งแต่ปี 2539 หน้าที่ของทางการไทยจึงเป็นการคุ้มครองสิทธิดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่การพยายามปิดกั้นอย่างที่เป็นอยู่

thaingo071059-1

 เปิด 5 มาตรา พ.ร.บ.คอมฯ ฉบับใหม่ น่าใจหายกว่าเดิม ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งกำลังอยู่ในการพิจารณาของ สนช. อยู่ในขณะนี้ ได้ชื่อว่าเป็นกฎหมายที่จะเสริมเขี้ยวเล็บให้การสอดแนม ดักจับ และปิดกั้นข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์รุนแรงมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ต่อไปนี้เป็นสรุปสั้นๆ ของ 5 มาตราสำคัญในร่างดังกล่าว ที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มูลนิธิเพื่ออินเทอร์เน็ตและวัฒนธรรมพลเมือง และไพรเวซี อินเตอร์เนชั่นแนล ส่งเอกสารแสดงความเป็นห่วงถึงภาครัฐไทย  มาตรา 8 (แก้ไขมาตรา 14) นิยามคำต่างๆ ในมาตรานี้ เช่น ข้อมูลเท็จ” “ความเสียหายแก่ประชาชนและ ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศไม่มีความชัดเจน ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้บังคับใช้กฎหมายตีความเพื่อเอาผิดทางอาญากับผู้ใช้สิทธิในการแสดงความเห็นทางออนไลน์ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาได้ ทั้งๆ ที่กรณีเช่นนี้ควรเป็นคดีแพ่ง มาตรา 9 (แก้ไขมาตรา 15) มาตรานี้กำหนดโทษอาญาต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) จากการแสดงความเห็นและการกระทำของผู้ใช้บริการ การกำหนดโทษดังกล่าวย่อมเป็นเหตุจูงใจให้ ISP ยอมเซ็นเซอร์ข้อมูลบางอย่างและยอมละเมิดเสรีภาพของผู้ใช้บริการ เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษของตัวเอง ซึ่งมีตั้งแต่การจ่ายค่าปรับ การถูกระงับ ไปจนถึงปิดเว็บไซต์และยกเลิกธุรกิจ มาตรา 13 (แก้ไขมาตรา 18) มาตรานี้เป็นการขยายอำนาจการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนโดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งศาล โดยเจ้าหน้าที่สามารถ ขอความร่วมมือเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่จำเป็นต่อการสอบสวน โดยอาจรวมถึงการบังคับให้ถอดหรือเปิดเผยรหัสสำหรับข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสรักษาความปลอดภัยด้วย มาตรา 14 (แก้ไขมาตรา 20) มาตรานี้อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ลบหรือระงับการเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ที่ถูกมองว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน แม้ว่าจะเป็นเนื้อหาที่ไม่ผิดกฎหมายใดๆ ก็ตาม ซึ่งถือเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสวงหา รับรู้ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและความคิด มาตรา 17 (แก้ไขมาตรา 26) มาตรานี้ว่าด้วยการเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ โดยไม่ยกเลิกข้อกำหนดเดิมที่ให้มีการเก็บรักษาข้อมูลแบบครอบจักรวาลและหว่านแห (mass surveillance) นอกจากนั้น มาตรานี้ยังขยายระยะเวลาสูงสุดของการเก็บรักษาข้อมูลจาก 1 ปีเป็น 2 ปี และไม่ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องขออำนาจจากศาลด้วย
**********
เนาวรัตน์ เสือสอาด
ผู้ประสานงานฝ่ายสื่อสารองค์กร
Naowarat Suesa-ard
Media and Communication Coordinator
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
90/24 ซอยลาดพร้าว 1 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
www.amnesty.or.th www.facebook.com/AmnestyThailand www.twitter.com/AmnestyThailand

Recent posts