ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

แถลงการณ์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่

แถลงการณ์  เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่

16 May 2016

950

 

รัฐ ไทยต้องดำเนินการป้องกันการบังคับบุคคลสูญหายอย่างจริงจังและเร่งดำเนินการ สืบสวนสอบสวนเพื่อทราบชะตากรรมของผู้ถูกบังคับสูญหายหลายรายที่ผ่านมา

 

          ประเทศไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีแกนนำชาวบ้าน นักเคลื่อนไหว นักต่อสู่เพื่อสิทธิมนุษยชน ถูกคุกคาม ถูกสังหารหรือแม้แต่ถูกบังคับให้หายสาบสูญเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานการณ์การบังคับบุคคลสูญหายในประเทศไทยนั้น จากสถิติที่มีการรวบรวมจากการร้องเรียนโดยคณะทำงานว่าด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหายหรือการสูญหายโดยไม่สมัครใจ ระหว่างปี 2523 ถึง 2557 ประเทศไทยมีการบังคับสูญหาย 89 กรณี โดยใน 81 กรณี ยังไม่ได้รับการแก้ไข รวมถึงกรณีของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนชาวกะเหรี่ยงที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ด้วย[1] ในจำนวนนี้ยังไม่รวมกรณีนายฟาเดล เสาะหมาน อดีตผู้ต้องขังถูกที่ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับความมั่นคง ซึ่งถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 3 คนใช้กำลังบังคับเอาตัวและหายสาบสูญไป เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2559และกรณีของนายเด่น คำแหล้ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ที่ได้ต่อสู้ในประเด็นที่ดินทำกินซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559หลังเดินทางเข้าป่าเพื่อหาเก็บหน่อไม้

           โดยที่การบังคับสูญหายมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการให้อำนาจเจ้าหน้าที่โดย ปราศจากการตรวจสอบดังเช่นข้อมูลการศึกษาโดยมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ระบุว่า การบังคับสูญหายจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง หากรัฐมีนโยบายในด้านความมั่นคงหรือการปราบปรามอย่างหนัก อาทิ นโยบายการปราบปรามการก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย และนโยบายสงครามยาเสพติด ในปี 2546[2] เป็นต้น  และปัจจุบัน คสช. ได้ออกคำสั่งที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐอย่างกว้างขว้าง โดยเฉพาะคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2558 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 13/2559 ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวบุคคลไว้ได้ไม่เกิน7 วัน และไม่ระบุสถานที่ควบคุมตัวโดยญาติและทนายความไม่สามารถเข้าถึงหรือตรวจสอบการควบคุมตัวบุคคลที่ถูกควบคุมตัวได้ในทันที[3] จึงอาจทำให้บุคคลเหล่านั้นตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกบังคับให้หายสาบสูญ

การ บังคับให้บุคคลหายสาบสูญถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ หรือญาติมักจะไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ ดังจะเห็นได้จากที่ผ่านมารัฐบาลไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในการคลี่คลายคดี และสืบสวนสอบสวนเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและลงโทษ อย่างเหมาะสมรวมทั้งไม่สามารถสืบสวนเพื่อทราบที่อยู่และชะตากรรมของผู้ถูก บังคับสูญหายได้  ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากข้อจำกัดทางกฎหมายของประเทศไทย ที่ยังไม่ได้กำหนดให้การบังคับสูญหายเป็นความผิดทางอาญารวมถึงกระบวนการสืบ สวนสอบสวนค้นหาความจริงยังขาดความเป็นอิสระ หรืออาจไม่ใส่ใจที่จะสืบสวนสอบสวนโดยทันที

แม้ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการสูญหายโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance (CED)) เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2555 แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาดังกล่าว และแม้รัฐไทยจะมีการยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันการทรมานและบังคับสูญ หายแล้ว แต่กระบวนการที่จะทำให้กฎหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้ก็เป็นไปอย่างล่าช้า หากเปรียบเทียบกับกฎหมายฉบับอื่นๆ ที่เร่งตราออกมาอย่างรวดเร็วภายใต้รัฐบาลนี้

ดังนั้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ปีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวบางกลอยหลังจากที่เขาถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานควบคุมตัวไว้เมื่อ 17 เมษายน 2557โดยปัจจุบัน ก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนักในการสืบหาตัวและนำผู้กระทำผิดมารับโทษ อันมีเหตุส่วนหนึ่งมาจากข้อบกพร่องของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งความไม่คืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนกรณีของบิลลี่ดังกล่าวและการลอยนวลพ้น ผิดของผู้กระทำในอดีตที่ผ่านมาประกอบกับสถานการณ์บังคับใช้กฎหมายและนโยบาย ภายใต้รัฐบาลนี้ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการบังคับสูญหายได้

องค์กร ที่มีรายนามแนบท้ายแถลงการณ์นี้ ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดการบังคับสูญหายอย่างเร่งด่วน ดังต่อไปนี้

  1. ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณารับคดีการหายตัวไปของบิลลี่เป็นคดีพิเศษอย่าง เร่งด่วนและต้องมีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง เร่งด่วน อิสระ และเป็นมืออาชีพ จนทราบชะตากรรมของบิลลี่เพราะคดีนี้เป็นคดีที่มีความสำคัญต่อนโยบายด้าน กระบวนการยุติธรรม การบังคับให้บุคคลใดสูญหายเป็นเรื่องที่รัฐจะต้องกำหนดมาตรการอย่างเด็ดขาด ในการสืบสวนหาความจริง เพื่อไม่ให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และถึงแม้ปัจจุบันประเทศไทยจะยังไม่มีการกำหนดให้การบังคับบุคคลสูญหายเป็น ความผิดทางอาญา แต่ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคล ถูกบังคับให้สูญหายแล้ว ในฐานะรัฐภาคีจึงควรใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อป้องกันการบังคับให้สูญ หายและไม่ให้ผู้กระทำลอยนวลพ้นผิดเนื่องจากความผิดฐานบังคับให้สูญหาย
  2. จากกรณีการหายตัวไปของนายเด่น คำแหล้ นักต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา โดยจากการค้นหาของเครือข่ายชาวบ้านสมาชิกเครือข่ายปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน พบหลักฐานที่บงชี้ว่าการหายตัวไปของนายเด่น อาจเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ดังนั้น เพื่อให้เกิดการคลี่คลายในกรณีดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องร่วมมือกันสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง เร่งด่วน อิสระ และเป็นมืออาชีพ จนทราบชะตากรรมของนายเด่น คำแหล้
  3. 3. ขอให้มีการดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงที่เชื่อได้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐนั้นกระทำการหรืออนุญาต สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจต่อการบังคับบุคคลให้หายสาบสูญ
  4. ขอให้ทบทวน ระเบียบ กฎ ที่เอื้อให้มีการบังคับบุคคลให้หายสาบสูญ โดยเฉพาะกฎหมายที่ให้อำนาจในการควบคุมตัวบุคคลไว้เป็นเวลานานและโดยไม่เปิดเผยสถานที่ควบคุมตัวหรือโดยไม่มีการนำตัวไปศาล เช่น คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 รวมทั้งการควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎอัยการศึก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติดฯ เป็นต้น
  5. 5. ขอให้เร่งดำเนินการตรากฎหมายการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้ บุคคลสูญหายอย่างเร่งด่วน โดยมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการ ลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญ เพื่อสร้างมาตรฐานทางกฎหมายอาญาในประเทศในการป้องกันการกระทำผิดและมีกระบวน การยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ รวมถึงมีมาตรการเยียวยาผู้เสียหายที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพโดยเนื้อหาใน กฎหมายดังกล่าวควรระบุหลักประกันอย่างน้อย ดังต่อไปนี้

5.1 กำหนด ให้การทรมานและการบังคับให้หายสาบสูญเป็นความผิดทางอาญา ฐานความผิดดังกล่าวต้องสอดคล้องกับนิยามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาต่อต้านการ ทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยี ศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญ

5.2 กำหนดให้การซ้อมทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายต้องได้รับการสืบสวนสอบสวนโดยทันที เป็นกลางและมีประสิทธิภาพโดยต้องนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้แม้ไม่พบตัวหรือไม่พบชิ้นส่วนศพก็ตาม และต้องตระหนักว่าสิทธิในการรับทราบความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของเหยื่อเป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้

5.3. กำหนด แนวทางการคุ้มครองพยานอย่างมีประสิทธิภาพและชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำ หน้าที่คุ้มครองพยานต้องไม่เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเดียวกันหรือใกล้ชิด กับหน่วยงานที่ถูกกล่าวหาว่าทำการทรมานหรือบังคับให้หายสาบสูญ เพื่อให้ความมั่นใจว่าผู้กระทำผิดจะไม่มีอิทธิพลต่อกลไกการคุ้มครองพยาน

5.4 กำหนดหลักประกันว่าข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกจำกัดเสรีภาพต้องถูกเปิดเผยต่อญาติและทนายความ หรือผู้มีส่วนได้เสียอื่น เพื่อป้องกันการทรมานการบังคับบุคคลให้สูญหายหรือทำให้เกิดการคุมขังในสถานที่ลับ และไม่ควรมีข้อกำหนดที่จะทำให้เกิดช่องว่างหรือข้อยกเว้นที่เป็นอุปสรรคต่อการป้องกันการทรมานและการบังคับสูญหายโดยเด็ดขาด

5.5. กำหนด ให้องค์ประกอบของคณะกรรมการที่เข้ามาทำหน้าที่ในการป้องกันการทรมานและ บังคับบุคคลสูญหาย ต้องมีหลักประกันความเป็นอิสระเพื่อไม่ให้คณะกรรมการถูกแทรกแซงจากผู้มี อำนาจและผู้มีอิทธิพลและควรกำหนดให้มีสัดส่วนของภาคประชาสังคมในจำนวนที่ สมดุลกับกรรมการโดยตำแหน่งที่มาจากภาครัฐ อีกทั้งต้องพิจารณาถึงการมีส่วนร่วมของผู้เสียหายและญาติผู้เสียหายด้วย

 

ด้วยความเคารพในสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

 

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA)

สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (UCL)

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF)

มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC)

มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)

ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา

ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น(CPCR)

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR)

ขบวนการผู้หญิงเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (WeMove)

มูลนิธินิติธรรมส่งแวดล้อม (EnLaw)

มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ (JPF)

            [1] Human Rights Council, Report of the Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances, A/HRC/30/38, 10August 2015,P.29

            [2] โปรดดู การบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศไทย โดยมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ,2558

            [3] โปรดดู รายงาน  1 ปี คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 : “อำนาจพิเศษ” ในสถานการณ์ปกติจัดทำโดย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เผยแพร่เมื่อ 1 เมษายน 2559

Recent posts