ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

ปัญหาชาวบ้านกับการต่อต้านรัฐประหาร

ปัญหาชาวบ้านกับการต่อต้านรัฐประหาร

27 April 2016

1162

เลิศศักดิ์  คำคงศักดิ์ ๒๕เมษายน๒๕๕๙   ขบวนประชาชนก่อนรัฐประหารปี๒๕๔๙ที่ชูคำขวัญหรือวาทกรรมแบบ‘ประชาชนต้องกำหนดอนาคตตนเอง’‘ประชาชนต้องมาก่อน’‘ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน’รวมถึงข้อทบทวนข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะหรือข้อค้นพบจากงานศึกษาวิจัยของปัญญาชนสาขาต่างๆที่พยายามแสวงหา ‘ความเป็นธรรมทางสังคม’หรืออะไรอื่นทำนองนี้เป็นอะไรที่ดูดีจับต้องได้มีสีสันและความหวังถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ก็ตามแต่ขบวนประชาชนหลังรัฐประหารปี๒๕๔๙เป็นต้นมาที่ยังคงชูคำขวัญหรือวาทกรรมดังกล่าวเป็นอะไรที่ย้อนแย้งถึงขั้นวิกลจริตไม่ใช่เพราะคำขวัญหรือวาทกรรมดังกล่าวล้าสมัยตกยุคไปแล้วมันยังคงเป็นคำขวัญหรือวาทกรรมที่ทันสมัยอยู่เช่นเดิมแต่การกระทำของขบวนประชาชนและปัญญาชนที่หันไปสนับสนุนรัฐประหารต่างหากได้ทำให้มันกลายเป็นคำขวัญหรือวาทกรรมแบบจับต้องไม่ได้และไร้ความหวังอีกต่อไปโดยสิ้นเชิง ส่วนใหญ่แล้วในขบวนประชาชนโดยเฉพาะที่ทำงานกับชาวบ้านเพื่อติดตามนโยบายโครงการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของรัฐและทุนมีความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่อทำการศึกษาค้นคว้าและวิจัยต่อเรื่องดังกล่าวที่สัมพันธ์กับอำนาจกลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนเป็นอย่างดีมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการเมือง-ราชการ-ทุนเกี่ยวข้องกันอย่างไรต่อการผลักดันนโยบายโครงการพัฒนาและกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน แต่เป็นเรื่องน่าแปลกตรงที่ในระดับความคิดขบวนประชาชนมีความเข้าใจในความสัมพันธ์ของอำนาจกลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนเป็นอย่างดีแต่ในระดับการกระทำกลับเห็นการปฏิบัติและเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกล่าวคือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอำนาจกลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนไม่สามารถหลุดออกมาจากเอกสารงานค้นคว้าศึกษาวิจัยได้มันยังคงเป็นความรู้ที่อยู่แค่ในงานเขียนงานประชุมสัมมนาและบ่นรำพึงในใจแทบจะไม่เคยเห็นหรือมีน้อยมากที่พวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนจะสร้างกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอำนาจกลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนอย่างจริงจังให้กับขบวนประชาชน บทรำพึงที่พบเห็นบ่อยมากในขบวนประชาชนก็คือการตัดพ้อด้วยความท้อแท้หรือไม่ก็ครุ่นคิดเพื่อจะหาหนทางใหม่หรือฝ่าทางตันอยู่เสมอว่าขบวนประชาชนได้เคลื่อนไหวจนติดเพดานของอำนาจรัฐแล้วในทางอำนาจฝ่ายบริหารก็เคลื่อนไหวกดดันจนได้มติคณะรัฐมนตรีแต่กลับถูกตระบัตสัตย์อยู่เสมอกับความไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหาในทางอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเสนอร่างกฎหมายฉบับประชาชนแต่กลับถูกแก้ไขเนื้อหาเสียจนไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์เดิมในทางอำนาจฝ่ายตุลาการก็ถูกกลั่นแกล้งจากการถูกดำเนินคดีและระบบเจ้าขุนมูลนายของตุลาการที่ดูถูกเหยียดหยามประชาชนจนต้องติดคุกติดตารางหรือโดยทำทัณฑ์บนในทางอำนาจฝ่ายเถื่อนก็บาดเจ็บพิการและล้มตายจากการข่มขู่คุกคามทำร้ายร่างกายและลอบฆ่า ด้วยความคิดเช่นนี้เองจึงคล้ายกับจะมีบทสรุปในทำนองว่าไม่ว่าจะครุ่นคิดเพียงใดก็ไม่สามารถมีหนทางอื่นอีกที่จะฝ่าทางตันได้นอกเสียจาก‘อำนาจพิเศษ’ที่สามารถบันดาลให้ความตีบตันของขบวนประชาชนได้รับการทะลุทะลวงออกไปจากข้อจำกัดและอำนาจของฝ่ายบริหารนิติบัญญัติและตุลาการที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง ขบวนประชาชนเหล่านั้นโดยเฉพาะพวกที่อยู่ส่วนบนหรือมีบทบาทชี้นำในขบวนประชาชนจึงโหยหาเข้าร่วมสนับสนุนรัฐประหารทั้งสองครั้งล่าสุดเพราะเห็นว่ารัฐประหารจะทำให้อำนาจรัฐของรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งเกิดสภาวะโกลาหลวุ่นวายชะงักงันหยุดนิ่งเปลี่ยนแปลงหรือยุติยกเลิกต่อนโยบายโครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนต่อพื้นที่/ประเด็น/กรณีปัญหาที่พวกเขาทำงานเฝ้าติดตามอยู่ รวมทั้งจะทำให้เกิดช่องทางใหม่ที่ลัดและพิเศษถือว่าเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสในการเชื่อมประสานกับผู้ขึ้นมามีอำนาจจากรัฐประหารเพื่อนำเสนอและให้ยุติปัญหาจากนโยบายโครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนในพื้นที่/ประเด็น/กรณีปัญหาที่พวกเขาทำงานเฝ้าติดตามอยู่ ตรงจุดนี้เองมีความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเกิดขึ้นเนื่องจากว่าพวกที่อยู่ส่วนบนหรือมีบทบาทชี้นำในขบวนประชาชนกลับสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอำนาจกลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนอย่างจริงจังให้กับขบวนประชาชนได้จนสามารถชี้นำเกณฑ์และทำความเข้าใจกับมวลชนในพื้นที่/ประเด็น/กรณีปัญหาต่างๆที่พวกเขาเหล่านั้นทำงานเฝ้าติดตามอยู่ให้เข้าร่วม (หรือถ้าไม่สามารถเข้าร่วมได้ก็คล้อยตามเห็นด้วยและมีบทบาทสนับสนุนอยู่ในพื้นที่) กับการชุมนุมเพื่อสนับสนุนและเชื้อเชิญให้ทหารออกมาทำการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งออกไปในรัฐประหารทั้งสองครั้งล่าสุด แต่สิ่งที่ได้กลับไม่คุ้มเสียรัฐประหารไม่เพียงแค่‘ไม่ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง’และทำลายการเมืองในส่วนของอำนาจฝ่ายบริหารนิติบัญญัติและตุลาการตามที่ขบวนประชาชนคาดหวังต้องการแต่มันยังได้ทำลายการเมืองของขบวนประชาชนที่อยู่นอกระบบเลือกตั้ง/รัฐสภาซึ่งเป็นประชาธิปไตยทางตรงและการเมืองบนท้องถนนเสียจนย่อยยับด้วยการออกคำสั่งที่มีสถานะเป็นกฎหมายกดขี่คนยากคนจนและคนเล็กคนน้อยในสังคมหนักข้อเสียยิ่งกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งจะสามารถกระทำได้เช่นการออกคำสั่งคสช. ที่๖๔/๒๕๕๗,  ๖๖/๒๕๕๗และ๔/๒๕๕๘[[1]] เพื่อบังคับใช้แผนแม่บทป่าไม้ฯ[[2]]ในการทวงคืนผืนป่าโดยอ้างการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารขึ้นมาบังหน้าด้วยการเผาทำลายตัดโค่นพืชผลการเกษตรยึดที่ดินคืนและจับกุมดำเนินคดีโทษฐานบุกรุกทำลายป่าและจับจองที่ดินทำกินเฉพาะกับประชาชนคนเล็กคนน้อยซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อยเสียเป็นส่วนใหญ่แต่ละเลยที่จะปฏิบัติกับผู้มีที่ดินรายใหญ่ในกรณีเดียวกันแบบเดียวกัน การประกาศใช้กฎหมายห้ามชุมนุมหรือพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะพ.ศ. ๒๕๕๘ที่ห้ามการชุมนุมแทบทุกกิจกรรมเคลื่อนไหวของขบวนประชาชนจนไร้ซึ่งเสรีภาพและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมกับรัฐในการกำหนดนโยบายและพัฒนาบ้านเมือง การเข้าไปข่มขู่คุกคามเรียกไปปรับทัศนคติฟ้องคดีจับกุมคุมขังและสั่งห้ามประชาชนในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศให้หยุดเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชนและการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุน การออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่๓/๒๕๕๙และ๔/๒๕๕๙[[3]] ที่ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในเขตเศรษฐกิจพิเศษและในโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทและคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่๙/๒๕๕๙[[4]]เพื่อยกเว้นโครงการด้านคมนาคมขนส่งโรงไฟฟ้าถ่านหินการสร้างเขื่อนและชลประทานฯลฯสามารถจัดหาผู้รับเหมาเอกชนเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจการได้โดยไม่ต้องรอให้ EIA ได้รับความเห็นชอบเสียก่อน ล่าสุดออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่๑๓/๒๕๕๙เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศลงวันที่๒๙มีนาคม๒๕๕๙ที่ขยายอำนาจของทหารขึ้นมาเป็นองค์กรมาเฟียโดยแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามแทนตำรวจและกำหนดกระบวนการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญาขึ้นใหม่ที่มีลักษณะพิเศษหรือเกินไปกว่ากฎหมายอาญากำหนดให้กระทำได้โดยมีอำนาจเรียกรายงานตัวจับกุมตรวจค้นควบคุมตัวและยึดหรืออายัดทรัพย์ของประชาชนโดยตรงได้ซึ่งคงส่งผลโดยตรงต่อการกวาดจับประชาชนที่ต่อต้านคัดค้านนโยบายโครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนด้วยอย่างแน่นอนเป็นต้น ภาวะของการหนีเสือปะจรเข้เช่นนี้ก่อให้เกิดคำถามในทางเสื่อมและความขัดแย้งร้าวลึกในขบวนประชาชนว่าทำไมขบวนประชาชนไม่ยืนหยัดเคียงข้างต่อสู้เพื่อ (แต่กลับอยู่ขั้วตรงข้ามหรือเป็นปฏิปักษ์กับ) ประชาธิปไตย ? อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ขบวนประชาชนทำการสนับสนุนรัฐประหาร? ทำไมขบวนประชาชนถึงไม่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับขบวนการประชาธิปไตยหรือต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยขับไล่รัฐประหารแต่กลับต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับขบวนการชาตินิยมนิยมอำนาจทหารและอนุรักษ์นิยมเพื่อขับไล่ประชาธิปไตยแทน? เหตุที่ต้องถามเช่นนี้ก็เพราะว่าขบวนประชาชนได้ประสบพบเจอกับความเลวทรามในรูปแบบและวิธีการที่ไม่ต่างกันระหว่างรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งกับรัฐประหารแต่ทำไมขบวนประชาชนถึงสามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างจริงจังเกี่ยวกับความเลวร้ายของความสัมพันธ์ทางอำนาจกลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันทางการเมือง-ราชการ-ทุนจนสามารถเข้าร่วม (หรือถ้าไม่สามารถเข้าร่วมได้ก็คล้อยตามเห็นด้วยและมีบทบาทสนับสนุนอยู่ในพื้นที่) กับการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จนนำมาสู่การรัฐประหารเมื่อวันที่๑๙กันยายน๒๕๔๙และ๒๒พฤษภาคม๒๕๕๗ตามลำดับได้ แต่ทำไมกับความเลวทรามยิ่งกว่าหลายเท่าที่เกิดขึ้นจากรัฐประหารถึงไม่สามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างจริงจังในขบวนประชาชนเกี่ยวกับด้านที่เลวร้ายของความสัมพันธ์ของอำนาจกลไกและการเอื้อประโยชน์ต่อกันของรัฐประหาร-ราชการ-ทุนเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารคสช. ได้ และหากมีคำถามตอบโต้ในเชิงหลบเลี่ยงว่าขบวนประชาชนเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่มีพลังหรือศักยภาพพอต่อการต่อต้านรัฐประหารจริงหรือ?  คำตอบที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือไม่ควรกังวลในสิ่งนั้นภารกิจของขบวนประชาชนมีแต่การเผยความจริงให้ปรากฎก็ในเมื่อความคิดต่อการเข้าร่วมขับไล่รัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ล้วนมาจากความคิดเห็นที่เห็นว่าอำนาจทางการเมืองที่แข็งแกร่งของรัฐบาลทั้งสองสามารถผลักดันนโยบายโครงการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้าข้างรัฐและทุนเสียจนทำให้ประชาชนไม่มีพื้นที่ทางการเมืองสังคมและเศรษฐกิจในการมีส่วนร่วมพัฒนาบ้านเมืองร่วมกับภาคส่วนอื่นๆและเห็นร่องรอยการทุจริตคอร์รัปชั่นเต็มไปหมดก็จงคิดกับรัฐบาลเผด็จการทหารคสช. ให้เหมือนกันหรือพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือจงคิดกับรัฐบาลเผด็จการทหารคสช. ให้มากกว่าอีกหลายเท่าจากที่คิดกับรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์เพราะอำนาจจากรัฐประหารในยุคเผด็จการทหารคสช. นั้นรุนแรงแข็งกร้าวกดขี่ข่มเหงคุกคามปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นการชุมนุมและการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อนโยบายโครงการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อรัฐและทุนมากยิ่งกว่า ดังนั้นจงให้ความรู้กับขบวนประชาชนเพื่อประกาศท่าทีให้ชัดเจนต่อการต่อต้านรัฐประหารให้เหมือนกับที่ให้ความรู้แก่ขบวนประชาชนในการออกมาขับไล่รัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์นั่นแหละ                                                   [1] หมายถึง  คำสั่ง คสช. ที่ ๖๔/๒๕๕๗ เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้  ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๗  คำสั่ง คสช. ที่ ๖๗/๒๕๕๗ เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน  ลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗  และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๔/๒๕๕๘ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยส่วนรวม  ลงวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๘ [2] แผนแม่บทป่าไม้ฯ  หรือชื่อเต็มว่า  ‘แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๕๗’  จัดทำโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  และกระทรวงทรัพยากรธรรชาติและสิ่งแวดล้อม,  พ.ศ. ๒๕๕๗ [3] หมายถึง  คำสั่งหัวหน้าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๕๙  เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ  ลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙  และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๔/๒๕๕๙  เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท  ลงวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ [4] หมายถึง  คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙/๒๕๕๙  เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม  ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙

Recent posts