29 March 2016
1040
รัฐบาลใหม่ของเมียนมากาลังจะเข้าดารงตาแหน่งและมีโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ในการเปลี่ยนแนวทางสิทธิมนุษยชน โดยจะต้องละทิ้งแนวทางการใช้กรอบกฎหมายปราบปรามอย่างรุนแรงแบบหลายปีที่ผ่านมาที่ล้วนแต่ส่งเสริมการจับกุมและปราบปรามโดยพลการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวในรายงานฉบับใหม่วันนี้ รายงาน “New expression meets old repression” ควรกระตุ้นให้อองซานซูจีและรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดี (National League for Democracy--NLD) ปล่อยตัวนักโทษทางความคิดโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อเริ่มดารงตาแหน่งช่วงต้นเดือนเมษายน “กรอบกฎหมายของเมียนมามีลักษณะเหมือนตาราการปราบปราม และทางการได้ใช้ตารานี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อปราบปรามผู้เห็นต่างมากขึ้น” แชมพา พาเทล (Champa Patel) รักษาการผู้อานวยการประจาสานักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว “เพื่อทาลายวงจรชั่วร้ายของการปราบปรามและการจับกุมทางการเมือง รัฐบาลใหม่ต้องให้ความสาคัญเร่งด่วนกับการปฏิรูปประมวลกฎหมาย เพื่อประกันว่าการแสดงความเห็นจะไม่เป็นความผิดอาญาอีกต่อไป และต้องปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังเพียงเพราะการกระทาดังกล่าว “อาจถือเป็นรุ่งอรุณใหม่ของสิทธิมนุษยชนในเมียนมา แต่ภารกิจของอองซานซูจีและพรรคเอ็นแอลดียิ่งใหญ่มาก พวกเขาต้องประกันว่าการดาเนินงานของรัฐจะไม่ถูกควบคุมจากกฎหมายเผด็จการที่ตกทอดมา แม้จะได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายจากการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญซึ่งเต็มไปด้วยข้อบกพร่องของเมียนมายังคงให้อานาจกองทัพในการควบคุมอย่างกว้างขวาง” สองปีของการปราบปรามที่เพิ่มขึ้น รายงานซึ่งจัดทาจากการสัมภาษณ์นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม นักกฎหมาย และนักโทษทางความคิดรวมทั้งครอบครัวของพวกเขา เผยให้เห็นว่าทางการเมียนมามีส่วนร่วมในการปราบปรามอย่างกว้างขวางต่อฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอย่างไรบ้างในช่วงสองปีที่ผ่านมา พวกเขาใช้ยุทธวิธีและกฎหมายที่ให้อานาจมหาศาลหลายอย่างเพื่อปิดปากผู้แสดงความเห็นต่าง กฎหมายบางฉบับเพิ่งออกมาใหม่และบางฉบับก็เป็นมรดกที่ตกทอดมาจากระบอบทหารตั้งแต่ก่อนปี 2554 ที่ผ่านมามีการข่มขู่ คุกคาม และคุมขังบุคคลหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักศึกษา ตลอดจนนักกิจกรรมด้านแรงงานและที่ดิน ทั้งๆ ที่พวกเขาเพียงแค่แสดงความคิดเห็นอย่างสงบ การปราบปรามและจับกุมนักกิจกรรมยังคงดาเนินต่อไป แม้กระทั่งภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลทราบว่ามีนักโทษทางความคิดเกือบ 100 คนที่ถูกคุมขังในเมียนมาทุกวันนี้ และอีกหลายร้อยคนซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวอย่างสงบถูกควบคุมตัวหรืออยู่ระหว่างรอการไต่สวนของศาล “นักโทษทางความคิดจานวนมากเหล่านี้เพิ่มรอยด่างของสถิติในเมียนมาอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนให้เห็นว่าข้ออ้างของทางการที่บอกว่ามีการปรับปรุงด้านสิทธิมนุษยชนไม่เป็นความจริง การเพิ่มการปราบปรามและการจับกุมบุคคลซึ่งเพียงแต่แสดงความเห็นของตนอย่างสงบเป็นปัญหาที่น่าหนักใจอย่างยิ่ง” แชมพา พาเทลกล่าว การใช้กฎหมายปิดปากผู้เห็นต่าง มีการใช้ช่องว่างด้านกฎหมายเพื่อสั่งคุมขังนักกิจกรรมเป็นเวลานาน เพื่อเป็นการรับรองว่าพวกเขาจะไม่สามารถประท้วงตามท้องถนนได้ ปัจจุบัน ถิ่นจอ (Htin Kyaw) กาลังใช้โทษจาคุก 13 ปีและ 10 เดือน โดย “ความผิด” ของเขาคือการแจกใบปลิววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยทางการตั้งข้อหากับถิ่นจอในความผิดฐานเดียวกันแต่แยกฟ้องเป็น 11 กระทง โดยนับตามจานวนของเขตพื้นที่ที่เขาเดินทางไปแจกใบปลิว ส่งผลให้มีการลงโทษจาคุกเขาเป็นเวลานาน ทางการเมียนมายังใช้กฎหมายเพื่อตั้งข้อหากับกลุ่มบุคคลที่เข้าร่วมในการประท้วง โดยเป็นลักษณะการลงโทษแบบเหมารวมหรือ collective punishment (แทนที่จะลงโทษเฉพาะบุคคล ยังมีการสั่งลงโทษญาติพี่น้อง คนในชุมชนเดียวกัน ฯลฯ ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นไม่มีส่วนต่อการกระทาผิดโดยตรง เป็นวิธีการเดียวกับที่มักทากันในช่วงสงคราม–ผู้แปล) ทั้งยังใช้เหตุผลทางการเมืองเพื่อสั่งควบคุมตัวและคุมขังบุคคล เพื่อทาให้ขบวนการต่อต้านรัฐบาลอ่อนแอลง โดยพุ่งเป้าไปที่แกนนาของขบวนการ ภายหลังการประท้วงของนักศึกษาทั่วประเทศเริ่มตั้งแต่ปี 2557 จนกระทั่งถูกตารวจปราบปรามอย่างทารุณที่เมืองเล็ตปาด่องในเดือนมีนาคม 2558 เป็นเหตุให้นักศึกษาและผู้สนับสนุนหลายสิบคนถูกจับกุมและควบคุมตัวทั่วประเทศ โดยมีอย่างน้อย 45 คนที่ยังคงถูกควบคุมตัวไว้ระหว่างรอการไต่สวน ทั้งยังมีการจับกุมเพิ่มเติมในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมาด้วย โอกาสสาหรับการเปลี่ยนแปลง? สมาชิกพรรคเอ็นแอลดีให้คามั่นสัญญาที่มีความหวังและน่ายินดี โดยระบุว่าเมื่อขึ้นสู่ตาแหน่ง พวกเขาจะให้ความสาคัญเร่งด่วนกับปัญหาสิทธิมนุษยชนและทางพรรคมีโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ที่จะทาเช่นนั้นได้ แต่ภารกิจดังกล่าวถือว่าเป็นภารกิจที่ใหญ่มาก มีการตั้งคาถามอย่างจริงจังถึงความสามารถของพรรคเอ็นแอลดีที่จะเปลี่ยนแนวทางสิทธิมนุษยชนจากที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เมื่อคานึงว่ารัฐธรรมนูญเมียนมายังคงให้อานาจกองทัพควบคุมสถาบันหลักหลายแห่งในประเทศ รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยซึ่งมีหน้าที่กากับดูแลหน่วยงานตารวจและการบริหารงานพื้นฐานทั่วประเทศ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องรัฐบาลใหม่ให้ปล่อยตัวนักโทษทางความคิดโดยทันที ให้จัดตั้งคณะกรรมการนักโทษทางความคิดที่มีอานาจพิจารณาคดีต่าง ๆ และประกันว่าจะไม่มีการคุมขังนักเคลื่อนไหวอย่างสงบ และให้แก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายที่ใช้ในการคุกคามสิทธิมนุษยชน “รัฐบาลของพรรคเอ็นแอลดีมีโอกาสทองในการทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน พวกเขาต้องคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างเต็มที่ และการที่จะทาเช่นนั้นได้พวกเขาจาเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศ” แชมพา พาเทลกล่าว หมายเหตุสาหรับบรรณาธิการ รายงาน “New expression meets old repression” จะเปิดตัวที่กรุงย่างกุ้งพร้อมการแถลงข่าวในวันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม เวลา 11.00 น. ตามเวลาในท้องถิ่นที่โรงแรม Park Royal . กรุณาสารองที่นั่งล่วงหน้าและขอสาเนารายงานโดยติดต่อ Olof Blomqvist, Asia Pacific Press Officer, olof.blomqvist@amnesty.org, +44 (0) 7904 397 956 เอกสารสาธารณะ