24 March 2016
1082
ตลอด ระยะเวลาที่ผ่านมาภาครัฐมักมีการฉวยโอกาสอ้างสถานการณ์น้ำท่วมน้ำแล้งในการ ผลักดันโครงการจัดการน้ำขนาดใหญ่ซึ่งไม่ได้เป็นแนวทางการแก้ปัญหาอย่างถูก วิธีและยั่งยืน เนื่องจากขาดการมีส่วนร่วมและไม่ตรงกับความเป็นจริงทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ของพื้นที่นั้นๆ ผลก็คือก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ระบบนิเวศลุ่มน้ำถูกทำลาย ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งรุนแรงและขยายตัวมากขึ้น สร้างความขัดแย้ง เกิดการคอร์รัปชั่น และสูญเสียงบประมาณอันเป็นภาษีของประชาชนโดยเปล่าประโยชน์ ในกรณีคำสั่งคสช. 9/2559 เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ(คปน.) เห็นว่าเป็นการรวบลัดขั้นตอนการดำเนินโครงการและกิจการขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้ 1) มีการผลักดันและเร่งรัดปัดฝุ่นเอาโครงการสร้างเขื่อนและผันน้ำเก่าที่เคยมีปัญหาและไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมาดำเนินงาน 2) สร้างความขัดแย้งระหว่างชาวบ้าน ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งระหว่างประชาชนกันเองซึ่งสวนทางกับการปรองดอง 3) เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน 4) สร้างความไม่ไว้วางใจต่อหน่วยงานรัฐเพราะแม้แต่หน่วยงานรัฐเองก็ตอบไม่ได้ว่าโครงการจัดการน้ำทั้ง 8 โครงการนั้นคืออะไรบ้าง 5) การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ขาดคุณภาพมากขึ้น 6) ขัดกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 มาตรา 4 ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและชุมชน 7) เกิดความเสี่ยงต่อการคุกคามชุมชนและผู้นำชุมชนมากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวข้างต้น เกิดการจัดการน้ำอย่างเป็นธรรม และคืนความสุขให้ประชาชนอย่างแท้จริง เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคเหนือ(คปน.) อันประกอบด้วย 1) คณะกรรมการคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้น ยมบน-ยมล่าง จ.แพร่ 2) เครือข่ายชุมชนรักษ์ป่าลุ่มน้ำแม่แจ่มตอนบน จ.เชียงใหม่ 3) เครือข่ายคัดค้านเขื่อนแม่ขาน จ.เชียงใหม่ 4) เครือข่ายคัดค้านเขื่อนห้วยตั้ง จ.ลำพูน 5) เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมภู จ.พิษณุโลก 6) เครือข่ายคัดค้านโครงการเขื่อนโป่งอาง จ.เชียงใหม่ 7) เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบโครงการผันน้ำป๋าม จ.เชียงใหม่ จึงมีข้อเรียกร้อง ดังนี้