ลักษณะกฎหมายในยุคเผด็จการทหารคสช.
15 March 2016
1295
เลิศศักดิ์คำคงศักดิ์
14มีนาคม2559
หนึ่งสัปดาห์เล็กน้อยหลังจากที่เข้ามาเป็นรัฐบาลจากการรัฐประหารยึดอำนาจไปจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ชินวัตรเมื่อวันที่22พฤษภาคม2557คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยกระทรวงคมนาคมก็เร่งหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อปลดล็อกEIAให้มีระยะเวลาการพิจารณาให้ความเห็นชอบสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้โครงการนำร่องที่เสนอออกมาก็มีรถไฟทางคู่ 5 สายรถไฟฟ้าและมอเตอร์เวย์พัทยา-มาบตาพุดโดยจะขอใช้การพิจารณาEIA แบบเร่งรัดช่องทางพิเศษ (EIA Fast Track) ให้แล้วเสร็จภายใน 105 วันเพื่อสร้างผลงานให้กับภาคธุรกิจทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนรัฐประหารได้เห็นผลเชิงประจักษ์ว่าระบอบเผด็จการสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ดีกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยในรัฐบาลยิ่งลักษณ์และทักษิณเสียอีกเพราะใช้อำนาจจากปลายกระบอกปืนตัดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำและพิจารณาEIA ออกไปเสีย
แต่โครงการชิมลางที่ได้รับการยกเว้นการพิจารณาให้ความเห็นชอบEIA ตามกระบวนการและขั้นตอนปกติของกฎหมายสิ่งแวดล้อมหรือพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมพ.ศ. 2535กลับเป็นโครงการศูนย์การแพทย์ศิริราชที่คสช. ออกประกาศคสช.ฉบับที่ 91/2557เมื่อวันที่15 กรกฎาคม2557เรื่องการก่อสร้างอาคารตาม“โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปโภค”คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายหลายฉบับให้สามารถดำเนินการก่อสร้างอาคารได้โดยยกเว้นข้อบังคับของหนึ่ง-กฎกระทรวงฉบับที่ 33 (พ.ศ.2535)ออกตามความพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 1 ลักษณะของอาคารเนื้อที่ว่างของภายนอกอาคารและแนวอาคารสอง-ข้อ 31 ของกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมของกรุงเทพมหานครพ.ศ.2556ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินสำหรับที่ดินประเภทศ.1 (ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย) การใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทนี้ให้มีอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (F.A.R.) ไม่เกิน 3:1
[1]สาม-ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้างดัดแปลงใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทภายในบริเวณฝั่งธนบุรีตรงข้ามบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ในท้องที่แขวงบางยี่ขันเขตบางพลัดแขวงอรุณอมรินทร์แขวงศิริราชเขตบางกอกน้อยแขวงวัดอรุณเขตบางกอกใหญ่แขวงวัดกัลยาณ์เขตธนบุรีและแขวงสมเด็จเจ้าพระยาเขตคลองสานกรุงเทพมหานครพ.ศ.2535โดยข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครฉบับนี้ได้กำหนดให้พื้นที่ก่อสร้างโครงการดังกล่าวอยู่ในบริเวณที่ 2 ซึ่งห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารอื่นใดยกเว้นอาคารทางศาสนาอาคารที่ทำการของทางราชการและอาคารที่พักอาศัยที่มิใช่ห้องแถวตึกแถวบ้านแถวหอพักหรืออาคารชุดโดยให้มีความสูงไม่เกิน 16 เมตร
[2]สี่-หมวด 5 แนวเขตอาคารและระยะต่างๆตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมอาคารพ.ศ.2544
และห้า-ในส่วนของการจัดทำรายงานEIA ได้กำหนดให้การพิจารณาในกระบวนการหรือขั้นตอนใดที่ไม่สามารถดำเนินการได้และจะทำให้การดำเนินโครงการฯดังกล่าวต้องล่าช้าออกไปก็ให้ได้รับยกเว้นการพิจารณาในขั้นตอนนั้นได้
โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์ฯดังกล่าวเป็นอาคารศูนย์การแพทย์จำนวน 1หลังขนาดความสูง 25 ชั้นและชั้นใต้ดิน 2 ชั้นเพื่อใช้เป็นศูนย์บริการทางการแพทย์เฉพาะทางด้านต่างๆซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 อนุมัติในหลักการโครงการและสนับสนุนด้านงบประมาณให้โครงการแล้วแต่พื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารค่อนข้างคับแคบบนพื้นที่ 3,017 ตารางเมตร (ประมาณ 1.88 ไร่) จึงจำเป็นต้องสร้างอาคารสูงเพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยอย่างเพียงพอคสช. จึงออกประกาศคำสั่งยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายหลายฉบับที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้พื้นที่คับแคบในการสร้างอาคารสูงให้เป็นกรณีเร่งรัดช่องทางพิเศษเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินแก่บรรดาพวกหมอที่สนับสนุนรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลย่ิงลักษณ์ออกไปได้
คล้อยหลังคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 17/2558เรื่องการจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษลงวันที่15พฤษภาคม2558โดยการเพิกถอนสภาพที่ดินตามแนวชายแดนอันเคยเป็นที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของประชาชนที่สาธารณประโยชน์ใช้สอยร่วมกันของชุมชนและพลเมืองพื้นที่ป่าไม้ประเภทต่างๆพื้นที่ส.ป.ก. และที่ดินใช้สอยประเภทอื่นๆให้ตกเป็นที่ราชพัสดุเพื่อนำไปจัดสรรเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตากมุกดาหารสระแก้วสงขลาตราดและหนองคายรวมทั้งให้บรรดาที่ดินที่ตกเป็นที่ราชพัสดุตามคำสั่งนี้และที่ดินอื่นที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
[3]หรือกนพ. กำหนดให้ใช้ประโยชน์ในการใช้เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณตำบลป่าไร่อ.อรัญประเทศจ.สระแก้วตำบลสำนักขามอ.สะเดาจ.สงขลาและอำเภอเมืองจ.หนองคายไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายผังเมืองด้วยจนกว่าจะมีการจัดทำผังเมืองรวมขึ้นใหม่ให้สอดคล้องกับที่ดินที่ถูกแปรสภาพไปเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้วไม่นานนักข่าวที่กนพ. ที่มีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาเป็นประธานได้เสนอให้มีการผ่อนปรนหลักเกณฑ์กฎระเบียบและเงื่อนไขไม่ต้องปฏิบัติตามข้อบังของกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อเลี่ยงการจัดทำและพิจารณารายงานEIAบางขั้นตอนให้มีระยะเวลาสั้นลง (EIA Bypass)เพื่อผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีผลเชิงรูปธรรมเร็วขึ้นโดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือจัดให้มีคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานEIA ด้านอุตสาหกรรมและระบบสาธารณูปโภค (คชก.) ระดับจังหวัด
[4]ที่มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษสามารถเป็นผู้อนุมัติ/อนุญาตรายงานEIA ได้เองไม่ต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนการพิจารณารายงานEIAแบบเดิมที่ใช้ระยะเวลายาวนานในการพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกต่อไปก็ปรากฎขึ้น
ปลายปี2558 ความพยายามที่จะทำEIA Fast Track และEIA Bypass ยิ่งชัดเจนขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track)เมื่อวันที่3 พฤศจิกายน2558 ทั้งนี้ก็เพื่อให้ขั้นตอนในการดำเนินการประกอบด้วยการจัดเตรียมโครงการการเสนอโครงการการคัดเลือกเอกชนและการคัดเลือกโครงการสามารถจัดทำไปพร้อมกับการจัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ(Feasibility Study : FS) และการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้FS หรือEIA ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่แต่เดิมหน่วยงานต่างๆจะต้องศึกษาพิจารณาและอนุมัติ/อนุญาตตามขั้นตอนต่างๆที่ถูกกำหนดไว้เรียงลำดับดังนี้เช่นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมการจัดเตรียมโครงการการเสนอโครงการการคัดเลือกเอกชนและการคัดเลือกโครงการฯลฯตามลำดับก่อนหลังแต่มติครม.ดังกล่าวสามารถให้หน่วยงานต่างๆศึกษาพิจารณาและอนุมัติ/อนุญาตตามขั้นตอนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของตัวเองไปพร้อมๆกันหรือคู่ขนานกันไปได้เลยไม่ต้องรอลำดับก่อนหลังอีกต่อไปซึ่งรัฐบาลอ้างว่าเป็นการปฏิรูประบบการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ที่สามารถย่นระยะเวลาให้กับโครงการที่เอกชนเข้าร่วมลงทุนในกิจการของรัฐจากระยะเวลาอย่างน้อย1ปี10เดือนเหลือเพียง9เดือนเท่านั้น
เบื้องต้นคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP)ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 6/2558เมื่อวันที่11 พฤศจิกายน 2558อนุมัติโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมที่มีความพร้อมในการดำเนินการตามมาตรการ PPP Fast Track จำนวน 5 โครงการรวมมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 334,207 ล้านบาทประกอบด้วยโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย– มีนบุรีมูลค่าโครงการ 56,725 ล้านบาทโครงรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว– สำโรงมูลค่าโครงการ 54,768 ล้านบาทโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง– บางแคและช่วงบางซื่อ– ท่าพระมูลค่าโครงการ 82,600 ล้านบาทโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางประอิน– นครราชสีมามูลค่าโครงการ 84,600 ล้านบาทและโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่– กาญจนบุรีมูลค่าโครงการ 55,620 ล้านบาท
แต่ความพยายามของรัฐบาลเผด็จการทหารคสช. ยังไม่หยุดเพียงแค่นี้กำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆต้นปี2559 ยังได้ออกคำสั่งที่เกี่ยวเนื่องกันอีก3 ฉบับคือ1. คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2559เรื่องการยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษลงวันที่20มกราคม2559เพื่อขยายอำนาจม.44 ตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 17/2558เรื่องการจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษลงวันที่15พฤษภาคม2558ที่กำหนดให้ที่ดินในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะ3 พื้นที่คือบริเวณตำบลป่าไร่อ.อรัญประเทศจ.สระแก้วตำบลสำนักขามอ.สะเดาจ.สงขลาและอำเภอเมืองจ.หนองคายไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายผังเมืองเปลี่ยนเป็นยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองครอบคลุมพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมดได้แก่เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตากมุกดาหารสระแก้วสงขลาตราด
[5]หนองคายนราธิวาสเชียงรายนครพนมกาญจนบุรี
[6]
- คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 4/2559เรื่องการยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภทลงวันที่20 มกราคม2559เพื่อขยายอำนาจม.44 ให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในโรงงานบางประเภทเพิ่มขึ้นอีกเช่นโรงไฟฟ้าขยะโรงไฟฟ้าชีวมวลหรือโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงอื่นๆโรงงานกำจัดขยะและของเสียต่างๆเป็นต้น
ในระหว่างที่ภาคประชาชนกลุ่มองค์กรต่างๆออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านคำสั่งทั้งสองฉบับนี้แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลเผด็จการทหารคสช. ไม่ได้สะทกสะเทือนกังวลใจแม้แต่น้อยกลับสวนกระแสความรู้สึกของภาคประชาชนด้วยการออกคำสั่งอีกหนึ่งฉบับคือ3. คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่9/2559เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมลงวันที่7 มีนาคม2559เพื่อยกเว้นโครงการด้านคมนาคมขนส่งการสร้างเขื่อนและชลประทานการป้องกันสาธารณภัยโรงพยาบาลและที่อยู่อาศัยสามารถจัดหาผู้รับเหมาเอกชนเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจการได้โดยไม่ต้องรอให้EIA ได้รับความเห็นชอบเสียก่อน
สิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลประชาธิปไตย
สิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนในรัฐบาลประชาธิปไตยก็คือไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติลงไปในกฎหมายระดับพระราชบัญญัตินอกรัฐสภาได้ดังเช่นที่รัฐบาลเผด็จการทหารคสช. กระทำการนอกรัฐสภาด้วยการเพิ่มเติมวรรคสี่ลงไปในมาตรา47 ของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมพ.ศ. 2535ตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่9/2559ดังที่กล่าวไว้แล้ว
เพราะกฎหมายย่อมผูกพันและส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและลบต่อวิถีชีวิตของประชาชนอย่างยาวนานและลึกซึ้งดังนั้นอย่างน้อยระบอบการปกครองที่แบ่งแยกการใช้อำนาจก็เพื่อให้มีวิธีการใช้อำนาจที่ยึดโยงระหว่างประชาชนกับผู้ที่ตนเลือกมาไม่ใช่ควบรวมอำนาจบริหารนิติบัญญัติและตุลาการ (ผ่านการใช้ศาลทหารยัดเยียดคดีให้ประชาชนหรือพลเรือน) เอาไว้ในองค์กรเดียวดังเช่นที่คสช. กระทำ
นอกจากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายระดับพระราชบัญญัตินอกรัฐสภาที่เป็นรูปแบบแรกแล้วยังมีการใช้อำนาจนอกรัฐสภาอย่างน้อยอีกสามรูปแบบรูปแบบที่สองคือการออกคำสั่งแทนออกกฎหมายและให้กฎหมายที่มีอยู่อยู่ภายใต้บังคับของคำสั่งแทนทั้งที่สมควรออกเป็นกฎหมายบังคับใช้เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบกระเทือนชีวิตผู้คนจำนวนมากและหลากหลายเนื่องจากกฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถจัดการหรือบังคับใช้ได้แต่กลับให้กฎหมายที่มีอยู่อยู่ภายใต้คำสั่งแทนดังเช่นกรณีการออกคำสั่งคสช. ที่ 64/2557, 66/2557และ4/2558
[7]เพื่อบังคับให้หน่วยงานเกี่ยวกับป่าไม้ตามกฎหมายป่าไม้ต่างๆและทหารดำเนินการตามแผนแม่บทป่าไม้ฯ
[8]โดยรวบอำนาจการจัดการป่าไม้ทั้งหมดเอาไว้ในมือทหารในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของคำสั่งทั้งสามยิ่งซ้ำเติมความทุกข์ยากของประชาชนทั่วทุกภาคให้กลายเป็นผู้ไร้ที่ดินทำกินมากยิ่งขึ้นเพราะทำได้เพียงจับกุมดำเนินคดีกับประชาชนผู้ยากไร้ที่อาศัยในเขตป่าเท่านั้นแต่ไม่สามารถจับกุมดำเนินคดีกับขบวนการลักลอบตัดไม้ที่เป็นนายทุนใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังการบุกรุกที่ดินในเขตป่าได้แต่อย่างใด
รูปแบบที่สามคือการออกคำสั่งยกเว้นบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ดังเช่นกรณีประกาศคสช. ฉบับที่ 91/2557ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2557 เรื่องการก่อสร้างอาคารตาม“โครงการก่อสร้างศูนย์การแพทย์พร้อมระบบสาธารณูปโภค” คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายหลายฉบับให้สามารถดำเนินการก่อสร้างอาคารดังกล่าวได้และการออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 4/2559เพื่อยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในโรงงานบางประเภทดังที่กล่าวไว้แล้ว
รูปแบบที่สี่คือการออกคำสั่งแทนออกกฎหมายผสมกับการออกคำสั่งยกเว้นบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ในกรณีนี้ได้แก่การออกคำสั่งคสช. ที่72/2557และ17/2558 แทนการออกกฎหมายโดยการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมาเพื่อกำหนดพื้นที่และจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ไม่อิงอยู่กับกฎหมายใดหรือไม่มีกฎหมายใดรองรับและออกคำสั่งคสช. ที่ 3/2559
[9]เพื่อยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายผังเมืองในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษดังที่กล่าวไว้แล้ว
ไม่เว้นแม้แต่บางเรื่องที่เป็นการกระทำในรัฐสภาเองก็ตามเช่นร่างพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้โดยมุ่งที่จะโอนอำนาจการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ตกอยู่แก่ระบบราชการฝ่ายเดียวเพื่อที่จะย่นระยะเวลาการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่ให้สั้นที่สุดเพื่อตอบสนองต่อนโยบายการลงทุนด้านเหมืองแร่ตัดขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองที่ยึดโยงอำนาจกับประชาชนออกไปบทบัญญัติของกฎหมายเช่นนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนในรัฐบาลประชาธิปไตย
หรือกฎหมายที่มีความสำคัญต่อขบวนการประชาชนเช่นกฎหมายห้ามชุมนุมหรือพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะพ.ศ. ๒๕๕๘ที่มีเนื้อหาแข็งกร้าวปิดกั้นการเคลื่อนไหวของประชาชนแทบทุกรูปแบบโดยมีบทบัญญัติให้การชุมนุมเกือบทุกประเภทต้องขออนุญาตชุมนุมต่อเจ้าพนักงานก่อนไม่ใช่เพียงแค่แจ้งให้ทราบเท่านั้นเพราะกฎหมายเปิดช่องให้เจ้าพนักงานสามารถมีความเห็นขัดขวางหรืออนุญาต/ไม่อนุญาตการชุมนุมได้และโดยธรรมชาติขององค์กรรัฐจะต้องขัดขวางการเคลื่อนไหวของประชาชนทุกรูปแบบเพื่อให้สังคมนิ่งไม่ให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนโกลาหลดังนั้นเจ้าพนักงานจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะระงับยับยั้งการชุมนุมของประชาชนที่แจ้งมาโดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริงหรืออยู่บนฐานของความเข้าใจในสิทธิเสรีภาพของประชาชนแต่อยู่บนฐานที่ว่าการชุมนุมทุกประเภทของประชาชนไม่อยากให้เกิดขึ้นมากกว่ามาตรการแข็งกร้าวเช่นนี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลประชาธิปไตย
เหตุที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลประชาธิปไตยไม่อยากให้เกิดขึ้นหลายรัฐบาลที่ผ่านมาคงอยากให้เกิดขึ้นแต่ที่เกิดขึ้นไม่ได้เพราะรัฐบาลเหล่านั้นมีภาระทางอำนาจที่ต้องยึดโยงกับประชาชนอยู่พอสมควรจะต้องตัดสินใจภายใต้การผันแปรกับเสียงที่จะได้จากประชาชนจึงทำให้นโยบายและกฎหมายเหล่านั้นต้องปรับสมดุลย์ของมาตรการบังคับใช้ให้อ่อนตัวลงไม่ใช่แข็งกร้าวแบบที่คสช. กระทำ
ดังจะเห็นข้อเท็จจริงแทบทุกเรื่องที่คสช. กระทำที่ล้วนถูกผลักดันกันมาหลายรัฐบาลแล้วแต่ไม่สามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษกฎหมายแร่กฎหมายห้ามชุมนุมการยกเว้นบังคับใช้กฎหมายผังเมืองเพื่อหลีกทางให้กับการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมการลดขั้นตอนการทำและพิจารณาEIA ตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนฯลฯเพราะติดขัดตัวบทกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ครั้นจะแก้ไขเพิ่มเติมหรือออกเป็นกฎหมายฉบับใหม่บังคับใช้ก็มีอำนาจจำกัด
ต่างจากการใช้อำนาจของคสช. ที่ใช้โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกร้อนหนาวผูกพันกับประชาชนแต่อย่างใด
ไม่ว่ารัฐคือสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็นต้องมีมันอย่างไรก็ตามในโลกสมัยใหม่ความจำเป็นอันชั่วร้ายนั้นจะต้องไม่ทำลายอุดมคติการใช้อำนาจที่ต้องยึดโยงกับประชาชนไว้ไม่ใช่สร้างระบบราชการอันเข้มแข็งที่ทำลายความรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงในการใช้ชีวิตของประชาชนให้น้อยลงทุกวันๆดังเช่นที่คสช. กระทำ
[1] ข้อมูลจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ คัดลอกจาก
http://www.asa.or.th/en/node/126505 (เว็บไซต์สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559
[2] อ้างแล้วในเชิงอรรถ 1
[3] คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2557
[4] แนวคิดให้มีคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ระดับจังหวัด ถูกผลักดันจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2558 ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ข้อ 4.2 ที่สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางให้มีคณะกรรมการผู้ชำนาญการระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐบาลส่งเสริมให้มีการลงทุน หรือพื้นที่ที่ต้องเร่งพัฒนาหรือดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้โครงการและกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลสามารถเริ่มดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
[5] 5 จังหวัดแรก ตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ที่ 1/2558 เรื่อง กำหนดพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 19 มกราคม 2558
[6] อีก 5 จังหวัดหลัง ตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ที่ 2/2558 เรื่อง กำหนดพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 ลงวันที่ 24 เมษายน 2558
[7] คำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 เรื่อง การปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2557 คำสั่ง คสช. ที่ 67/2557 เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และนโยบายการปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2557 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2558 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยส่วนรวม ลงวันที่ 8 เมษายน 2558
[8] แผนแม่บทป่าไม้ฯ หรือชื่อเต็มว่า ‘แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2557’ จัดทำโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และกระทรวงทรัพยากรธรรชาติและสิ่งแวดล้อม, พ.ศ. 2557
[9] คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2557 คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 17/2558 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ลงวันที่ 20 มกราคม 2559