ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

แถลงการณ์ 12 ปีทนายสมชาย ประเทศไทยยังมีคนยังถูกบังคับให้สูญหายโดยไร้การสืบสวนสอบสวนอย่างเร่งด่วน

แถลงการณ์ 12 ปีทนายสมชาย  ประเทศไทยยังมีคนยังถูกบังคับให้สูญหายโดยไร้การสืบสวนสอบสวนอย่างเร่งด่วน

15 March 2016

1292

  ( ขอบคุณภาพ จาก  i-newsmedia.net  ) เผยแพร่วันที่ 12 มีนาคม 2559   วันนี้เป็นวันครบรอบ 12 ปีที่นายสมชาย นีละไพจิตร นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2547 โดยมีพยานหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่า 5 คนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปครั้งนั้น และครอบครัวของนายสมชาย ยังคงพยายามแสวงหาคนผิดมาลงโทษเรื่อยมา ต่อมาพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาพิเศษ 6 ได้เป็นโจทก์ฟ้องเจ้าพนักงานตำรวจรวม 5 นายได้แก่ พ.ต.ต.เงิน ทองสุก พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน ต่อศาลอาญาเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1952/2547  ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะและร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยทำให้กลัวว่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพโดยใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390 และ 391 เพราะเหตุประเทศไทยยังไม่มีความผิดฐานบังคับให้บุคคลสูญหายโดยตรง จึงต้องฟ้องในฐานความผิดอาญาทั่วไป และศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ครอบครัวผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับอัยการได้ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้อนุญาตให้ภรรยาของนายสมชายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและศาลฎีกาพิพากษายืน โดยทั้งสองศาลให้เหตุผลว่าคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 5 (2) กล่าวคือภรรยาและบุตรไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่านายสมชายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ แม้ว่าศาลแพ่งจะได้มีคำสั่งให้นายสมชายเป็นบุคคลสาบสูญแล้ว ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 61 เมื่อบุคคลใดถูกสั่งให้เป็นคนสาบสูญ  กฎหมายให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตายทางกฎหมายแล้ว และคำสั่งของศาลแพ่งที่ให้นายสมชายเป็นคนสาบสูญนั้นยังคงอยู่และไม่มีการขอเพิกถอนแต่อย่างใด ซึ่งแสดงความล้มเหลวในการนำคนผิดมาลงโทษอย่างสิ้นเชิงโดยส่วนสำคัญคือการขาดซึ่งกฎหมายอาญาที่กำหนดว่าการอุ้มหายเป็นความผิด การตีความกฎหมายอย่างแคบ และความล้มเหลว ขาดความเป็นอิสระและความเป็นมืออาชีพในสืบสวนสอบสวนในระยะแรกๆโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนนำมาซึ่งการนำเสนอพยานหลักฐานสำคัญที่ขาดน้ำหนักน่าเชื่อถือ  ปัจจุบันคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้รับผิดชอบแต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดใดหลังศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องจำเลยทั้ง 5 คน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนได้ดำเนินโครงการเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครองทางด้านสิทธิมนุษยชนยังคงได้รับข้อเท็จจริงว่า การบังคับให้บุคคลสูญหายยังคงเกิดขึ้นในประเทศไทยรวมทั้งการควบคุมตัวลับ อย่างต่อเนื่อง และการสืบสวนสอบสวนของหน่วยงานรัฐและองค์การอิสระกลับล้มเหลว ล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพไม่เกิดผลในการนำคนผิดมาลงโทษ  อีกทั้งไม่สามารถแสวงหาข้อเท็จจริงให้ญาติเพื่อคลี่คลายชะตากรรมของบุคคล ที่ถูกบังคับให้หายไป เช่น เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2558 เกิดเหตุกรณีนายณัฐพงศ์ ศรีคะโชติ อายุ 19 ปี ถูกอุ้มหายไปจากบ้านพัก อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา จากกรณีเหตุการณ์มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 4 คน อ้างเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติดจังหวัดฉะเชิงเทรา บุกเข้ามาจับกุมนายณัฐพงศ์ ศรีคะโชติ หรืออาร์ม อายุ 19 ปีไปจากบ้านพัก อ.เมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และรายละเอียดกับทางครอบครัวก่อนที่นายณัฐพงศ์จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 3 เดือนการสืบสวนสอบสวนยังไม่สามารถคลี่คลายความจริงให้กับญาติเพื่อให้ทราบชะตากรรมของเยาวชนคนนี้ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2559 มีรายงานว่าชายฉกรรจ์จำนวน3 คนจับนายฟาเดล เสาะหมานอายุ 28 ปี บังคับขึ้นรถยนต์สีดำคันหนึ่งจากบริเวณลานจอดรถของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี นายฟาเดลเป็นอดีตผู้ต้องขังคดีความมั่นคงที่ศาลจังหวัดปัตตานีได้ตัดสินยกฟ้องในคดีความมั่นคงตั้งแต่ปี 2553 ปัจจุบันเป็นระยะเวลา 2 เดือนกว่าแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ได้รับเรื่องร้องเรียนคนหาย แต่การสืบสวนสอบสวนยังไม่เป็นผล ปัจจุบันยังไม่ทราบชะตากรรม หากแต่สถานการณ์การบุกอุ้มตัวนายฟาเดลที่เกิดขึ้นอย่างอุกอาจในเวลากลางวัน ในโรงเรียนที่เป็นพื้นที่สาธารณะก่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนใน พื้นที่ในเรื่องความปลอดภัย เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 นายบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญนักกิจกรรมชาวกระเหรี่งได้ถูกหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรีจับกุมในข้อหามีน้ำผึ้งจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นของป่าไว้ในครอบครองมีความผิดตามพรบ.อุทยานแห่งชาติ อย่างไรก็ดีมีข้อเท็จจริงจากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีว่า “ไม่มีการปล่อยตัวนายบิลลี่จริง” อย่างไรก็ดีการสืบสวนสอบสวนยังคงจำกัดแต่เพียงการกระทำความผิดตามมาตรา 157 โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐยังสมสัดส่วนของข้อกล่าว หาที่ว่านายพอละจีถูกบังคับให้สูญหายโดยมีการจับกุมควบคุมตัวและปกปิดชะตา กรรมตลอดระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอเสนอให้รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังนี้
  1. ขอให้ผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มี หน้าที่โดยตรงในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาทั้งปวงต้องดำเนินการให้มีตรวจ สอบอย่างจริงจังและอย่างเร่งด่วนในกรณีที่มีข้อมูลเชื่อว่ามีบุคคลใดก็ตามมี เรื่องร้องเรียนว่าถูกทำให้หายตัวไปเพื่อคลี่คลายคดีร้องเรียนและสืบสวนสอบ สวนจนทราบชะตากรรม  โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือบุคคลอื่น  เนื่องจากมาตรการที่จริงจังของเจ้าหน้าที่รัฐที่รับเรื่องร้องเรียนจะเป็น มาตรการที่ป้องปรามการบังคับให้บุคคลสูญหายรายต่อๆไปการบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นอาชญกรรมที่ร้ายแรงที่สุดจึงต้องมีการสืบสวนสอบสวนอย่างคดีอาญาสำคัญโดยพลัน อย่างจริงจัง อิสระ เป็นมืออาชีพ
  2. ขอให้รัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมเร่งดำเนินการ จัดทำให้ร่างพรบ.การป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย ให้สอดคล้องกับหลักการสากล  โดยกำหนดให้การบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นความผิดทางอาญาและให้สัตยาบันใน อนุสัญญาการคุ้มครองบุคคลไม่ให้มีการบังคับสูญหายขององค์การสหประชาชาติโดย ไม่ชักช้า เพื่อสร้างมาตรฐานทางกฎหมายอาญาในประเทศโดยเร็วตามที่ได้ให้คำมั่นไว้กับ ประชาคมระหว่างประเทศและในระหว่างการทบทวนรายงานสิทธิมนุษยชนต่อองค์กรสห ประชาชาติ
  3. ขอให้ยกเลิก ระเบียบ กฎ ที่เอื้อให้มีการควบคุมตัวลับ การควบคุมตัวโดยไม่เปิดเผยสถานที่ควบคุมตัวหรือโดยไม่มีการนำตัวไปศาล เช่น การควบคุมตัวตามคำสั่ง คสช.   3/ 2558 และการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกจำนวน 7 วัน  การควบคุมตัวตามตามพรก.ฉุกเฉิน 30 วัน การควบคุมตามพรบ.ปราบปรามยาเสพติดจำนวน 3 วัน เป็นต้น และเมื่อปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงที่เชื่อได้ว่า การบังคับบุคคลให้สูญหาย ได้แก่ การจับ ควบคุมตัว ลักพาตัว หรือวิธีการอื่นใดในการทำให้บุคคลสูญเสียอิสรภาพ กระทำโดยตัวแทนของรัฐ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลโดยการอนุญาต การสนับสนุน หรือ การรู้เห็นเป็นใจจากรัฐ และรัฐปฏิเสธการกระทำนั้น หรือโดยปกปิดชะตากรรม หรือสถานที่อยู่ของบุคคลนั้นทำให้บุคคลนั้นต้องตกอยู่ภายนอกความคุ้มครองของกฎหมาย   ขอให้มีการดำเนินการทั้งทางอาญาและทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่ที่กระทำด้วยอย่างเป็นธรรม
อนึ่งการอุ้มหายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย โดยรัฐจะต้องไม่ยินยอมให้เกิดขึ้นได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะสถานการณ์ เหตุผล หรือต่อบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติม พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ Tel. 02-6934939

Recent posts