บทบาทของเด็กกับการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ
8 February 2016
1338
เวทีเสวนา “บทบาทของเด็กกับการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ” เปิดข้อมูล 20 ปีมีผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทั่วโลกกว่า 4.4 พันล้านคน ครึ่งหนึ่งเป็นเด็กที่ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ด้าน Save the Children เสนอ ชุมชม โรงเรียน ครอบครัว ติดอาวุธให้เด็กเข้าใจภัยพิบัติเพื่อเรียนรู้วิธีในการเอาตัวรอด พร้อมประสาน สพฐ.จัดทำคู่มือเรียนรู้ภัยพิบัติให้โรงเรียนนำไปปรับใช้กับการเรียนสอน ขณะที่นักวิชาการด้านแผ่นดินไหวเชื่อเด็กมีศักยภาพในการเอาตัวรอดได้ พร้อมแนะทุกฝ่ายประเมินความเสี่ยง-ซักซ้อมแผนล่วงหน้ารับมือเหตุไม่คาดฝัน ยกไต้หวันเป็นกรณีศึกษาออกแบบอาคารไม่พร้อมรับมือแผ่นดินไหวทำให้ได้รับผล กระทบมาก ระบุกทม.ไทยมีอาคารกว่า 90 เปอร์เซ็นเสี่ยงถล่มหากแผ่นดินไหว
วันนี้ (6 ก.พ. 59) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร องค์การช่วยเหลือเด็ก (Save the Children) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สภากาชาดไทย และ FamilyMart ได้ร่วมกันจัดพิธีเปิด นิทรรศการนวัตกรรมลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและพิธีมอบรางวัลการประกวดเรียง ความเรื่องการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติระดับประเทศ ซึ่งนอกจากจะมีการจัดแสดงนิทรรศการตัวอย่างนวัตกรรมลดความเสี่ยงภัยพิบัติ จากความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆแล้ว ยังมีการเสวนาที่น่าสนใจในหัวข้อ “บทบาทของเด็กกับการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ” โดยมีวิทยากรจากสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภาชาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตัวแทนจากองค์กร Save the Children ตัวแทนนักวิชาการด้านภัยพิบัติ ตัวแทนคุณครูและเด็กเข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้ด้วย

น.ส.จารุรินทร์ พลหินกอง ผู้ประสานงานโครงการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ จาก Save the Children กล่าว ว่า จากคำแถลงการณ์ของนายบัน คีมูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานั้นมีผู้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทั่วโลกราว 4.4 พันล้านคน ซึ่งครึ่งหนึ่งของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถิติดังกล่าวเป็นเด็ก ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกหน่วยงานที่จะต้องป้องกันการสูญเสียที่จะ เกิดขึ้นกับเด็ก ๆต่อไปในอนาคตให้ได้ โดยหนึ่งในทางแก้ไขปัญหาคือการติดอาวุธความรู้ให้กับเด็กได้เรียนรู้และเข้า ใจถึงลักษณะของภัยพิบัติแต่ละชนิด ให้เด็กสามารถประเมินความเสี่ยงของการเกิดภัยพิบัติในพื้นที่ของตนได้ และที่สำคัญคือให้เด็กได้เรียนรู้วิธีในการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติต่างๆ ได้ ซึ่ง Save the Children ได้ดำเนินงานในการสร้างความรู้ให้กับเด็กๆ ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548 ในช่วงของการฟื้นฟูจากเหตุการณ์สึนามิ ซึ่งในครั้งนั้นเราได้ดำเนินงานจัดทำหนังสือ “กระต่ายตื่นตัว” จนถึง “ตุ่นน้อยตื่นตัว” ในทุกวันนี้ โดยดึงทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความรู้กับเด็ก และสร้างแผนในการรับมือกับภัยพิบัติให้กับเด็ก ครอบครัว โรงเรียน และชุมชนได้
ผู้ประสานงานโครงการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ Save the Children กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่สำคัญในการทำงานเรื่องนี้คือผู้ใหญ่จะต้องเปลี่ยนแนวคิดและทัศนคติ เรื่องเด็กกับภัยพิบัติใหม่ เพราะยังมีผู้ใหญ่จำนวนมากที่ยังมีความเชื่อว่าไม่มีความสำคัญและความจำเป็น ที่ต้องให้ความรู้กับเด็กในเรื่องนี้ และมองว่าเด็กคือกลุ่มเปราะบางที่ผู้ใหญ่ต้องให้ความช่วยเหลือเพียงอย่าง เดียว การที่ผู้ใหญ่มองว่าไม่จำเป็นต้องให้ความรู้กับเด็กนั้นจึงเป็นเหมือนช่อง ว่างเล็กๆ แต่มีผลอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้เด็กๆ ไม่เข้าใจว่าเขาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเกิดภัยพิบัติและทำให้เด็กไม่ สามารถช่วยเหลือตนเองได้เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นมา
“สิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ทำได้คือเราต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กๆ ได้เข้ามามีบทบาทในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติได้ด้วยตัวเขาเอง ให้เขาได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจบางอย่างร่วมกับชุมชน ครอบครัว และโรงเรียน โดยในระดับครอบครัว พ่อแม่ควรที่จะสอนให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องภัยพิบัติจากสิ่งต่างๆ ใกล้ตัว หรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติให้ลูกได้รับทราบพร้อมทั้งสอนวิธีในการ เอาตัวรอดหากเกิดภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ให้กับลูกๆ ด้วย ในส่วนของโรงเรียนก็ควรปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีความเชื่อมโยงกับการ เรียนรู้เรื่องภัยพิบัติ อาทิ การปรับการคิดคำนวณในวิชาคณิตศาสตร์เป็นช่วงเวลาของความเร็วของน้ำที่จะเข้า ท่วมหมู่บ้าน ซึ่งในส่วนของกระบวนการศึกษานั้น ก่อนหน้านี้ Save the Children ได้ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( สพฐ.) และองค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนลได้จัดทำคู่มือแนวทางการจัดการเรียนรู้เรื่องการลดความ เสี่ยงจากภัยพิบัติและการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศขึ้นมา ซึ่งโรงเรียนใดที่สนใจสามารถนำคู่มือเล่มนี้ไปปรับใช้กับการเรียนการสอนใน โรงเรียนของตนเองได้ เราเชื่อว่าถ้าเด็กๆ มีการเตรียมพร้อมรับที่ดีเขาจะช่วยเหลือตัวเองได้มากยิ่งขึ้นและลดการสูญ เสียชีวิตของเด็กลงได้ด้วย เพราะเมื่อเด็กๆ เข้าใจสาเหตุและรูปแบบของการเกิดภัยพิบัติแล้ว เขาก็สามารถที่จะเอาตัวรอดได้และสามารถที่จะช่วยครอบครัว ชุมชน โรงเรียนของเขาให้รอดจากภัยพิบัติได้ด้วยเช่นกัน” น.ส.จารุรินทร์กล่าว
ด้านรศ. ดร. สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวว่า ภัยธรรมชาติในประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศจะมีความรุนแรงน้อยกว่า แต่หากมองเรื่องผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะมาจากปัจจัยในเรื่องของการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับภัยธรรมชาตินั้นๆมากน้อยขนาดไหน เพราะแม้ว่าภัยธรรมชาติจะมีความรุนแรงน้อย แต่ถ้าไม่มีการเตรียมความพร้อมใดๆ ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้นก็มีมาก เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งถือว่าภัยที่ไม่สามารถจัดการได้แต่เตรียมความพร้อมรับมือได้ เช่น การออกแบบโครงสร้างของอาคารบ้านเรือนให้ทนต่อการสั่นไหวของแผ่นดิน
รศ. ดร. สุทธิศักดิ์ ระบุว่า ในส่วนของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็กเมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้นนั้น มองได้ 2 ด้าน คือด้านที่ดี และไม่ดี ด้านไม่ดี ขึ้นอยู่กับครอบครัวของเด็กว่าจะฟื้นตัวได้เร็วมากน้อยแค่ไหนจากเหตุภัยพิบัติ แต่ถ้าเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นต้องย้ายหมู่บ้าน เด็กจะได้รับผลกระทบเรื่องการศึกษาอย่างมาก เพราะนั่นหมายถึงการย้ายโรงเรียน เช่นที่เกิดขึ้นที่บ้านน้ำเค็ม ในสมัยที่เกิดสึนามิ
“ในมิติที่ผมมองเด็กๆจะได้รับผลกระทบไม่ต่างอะไรไปจากผู้ใหญ่เท่าใดนัก แต่เด็กๆเหล่านี้จะมีประสบการณ์ที่เขาได้เจอโดยตรง เขาสามารถชี้จุดเกิดเหตุต่างๆได้ ถ้าเราใช้ประโยชน์ตรงนี้เข้าไปให้ความรู้ วิธีการเอาตัวรอด ให้เขาสามารถจัดการตัวเองได้ ไม่ให้ตัวเองต้องเป็นภาระ เมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าเด็กๆเหล่านี้มีศักยภาพ”
นักวิชาการด้านแผ่นดินไหว ระบุด้วยว่า สิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองและเด็ก ควรจะทำร่วมกันเพื่อเป็นการป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ สำรวจว่าพื้นที่ที่ตนเองอยู่อาศัยมีภัยประจำถิ่นคืออะไร ความสามารถในการรับมือภัยพิบัติมีมากน้อยขนาดไหน และผู้ปกครองและเด็กจะต้องซักซ้อมแผนร่วมกันว่าหากเกิดภัยพิบัติขึ้นจะทำอย่างไร
“การนัดแนะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องตกลงกันว่าถ้าเกิดภัยพิบัติ พ่ออยู่บ้าน ลูกอยู่โรงเรียน น้ำป่าไหลหลากมาจะเจอกันที่ไหน แต่จากการวิจัยพบว่าที่โรงเรียนเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดเมื่อเกิดภัยพิบัติ ดังนั้นผู้ปกครองควรที่จะไปหาลูกที่โรงเรียน”
นอกจากนี้ รศ. ดร. สุทธิศักดิ์ ยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่ประเทศไต้หวันว่า กรณีล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ประเทศไต้หวันเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า โครงสร้างวิศวกรรมมีส่วนสำคัญมากที่จะทำให้เราได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวมากหรือน้อย ซึ่งเมืองไถหนานของไต้หวันที่เกิดแผ่นดินไหวนั้นเป็นเมืองเก่าอาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ไม่ได้รองรับภัยแผ่นดินไหว ซึ่งในกรณีของประเทศไทยอาคารกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นอาคารเก่า เพราะไทยเราเพิ่งมีกฎหมายเรื่องวิศวกรรมรองรับแผ่นดินไหวเมื่อปีพ.ศ. 2550 ดังนั้นอาคารเก่าที่สร้างก่อนปี 2550 ถือว่ามีความเสี่ยงหากเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรง
“ถามว่าจะทำอย่างไรที่จะแก้ไขได้ มีตัวอย่างในต่างประเทศญี่ปุ่นที่รัฐบาลเขาสนับสนุนเงินให้เจ้าของบ้าน 1 ใน 3 ของจำนวนเงินที่สร้างบ้านทั้งหมดเพื่อให้พัฒนาบ้านเมืองให้มีมาตรฐานรองรับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทยที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการเกิดแผ่นดินไหวคือจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก และจังหวัดกาญจนบุรี สำหรับแนวทางในการป้องกันเด็กๆ จากภัยพิบัติเหล่านี้คือเราต้องสร้างองค์ความรู้ให้กับเด็กๆ เพราะมีองค์ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติเขาก็จะสามารถดูแลและป้องกันตนเองได้”
ขณะที่นางสมพิศ เทพดวงจันทร์ คุณครูผู้สอนโรงเรียนบ้านต้นผึ้ง อ. ฝาง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า จากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เมื่อปี 2554 ทำให้คนในพื้นที่ตระหนักถึงเรื่องภัยพิบัติ ซึ่งทำให้ทุกหน่วยงานในท้องถิ่นทั้งโรงเรียน อบต. ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา และอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ช่วยกันระดมความคิดเพื่อที่จะหาแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดน้ำไหลหลากขึ้นอีก และเห็นพ้องกันว่า การรักษาป่าต้นน้ำ เป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะต้นไม้จะช่วยดูดซับน้ำ โดยนักเรียน ชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วยงานได้ระดมปลูกป่าทดแทนป่าที่หายไปซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก รวมถึงการขุดลอกคูคลอง และให้ความรู้กับชุมชนช่วยกันดูแล
“การให้ความรู้นักเรียนเรื่องการจัดการตนเองเมื่อเกิดภัยพิบัติโดยเฉพาะน้ำป่าไหลหลากเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ เพราะนักเรียนจะได้นำความรู้เหล่านั้นไปบอกต่อให้ครอบครับได้รับทราบ โดยในส่วนของโรงเรียนบ้านต้นผึ้งจะอบรมแก่นักเรียนในทุกวันช่วงเคารพธงชาติ นอกจากนี้ยังบรรจุเนื้อหากลุ่มสาระเกี่ยวกับภัยพิบัติสอดแทรกในการเรียนการสอนทุกวิชาด้วย”ครูผู้สอนโรงเรียนบ้านต้นผึ้ง อ. ฝาง จ.เชียงใหม่กล่าว
ด้านด.ญ.ส่วยห่าน ลุงยะ ผู้ชนะเลิศรางวัลที่ 1 ในการประกวดเรียงความระดับมัธยมศึกษาขององค์การช่วยเหลือเด็ก กล่าวว่า รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้ชุมชนต้องเผชิญกับเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากอีก และมั่นใจว่าแม้จะเกิดเหตุขึ้นอีกคนในหมู่บ้านก็จะปลอดภัยเพราะได้เตรียมการรับมือไว้หมดแล้ว นอกจากนี้ยังได้ตั้งชมป้องกันและดูแลตนเองในโรงเรียนด้วย ซึ่งนักเรียนในชมรมก็จะนำความรู้ในการรับมือภัยพิบัติไปบอกต่อคนในครอบครัวได้ ซึ่งการให้ผู้ใหญ่ให้โอกาสพวกเราได้ดูแลชุมชน ได้ดูแลครอบครัวของเรา เราก็สามารถทำได้
ทั้งนี้ในงานดังกล่าวยังมีพิธีมอบ รางวัลการประกวดเรียงความเรื่องการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติระดับประเทศ การจัดแสดงนวัตกรรมลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่จัดทำขึ้นโดยเด็ก ๆ ที่เข้าร่วมงานค่ายเยาวชนเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ด้านการลด ความเสี่ยงจากภัยพิบัติ อาทิ เสื้อชูชีพอำนวยการเก้าอี้แผนที่ และหมวกไฟฉาย ที่เอาไว้ใช้เมื่อยามเกิดภัยพิบัติ รวมไปถึงการจัดมินิเวิร์กช็อป ออกแบบโปสเตอร์รณรงค์การเตรียมความพร้อมรับมือจากภัยพิบัติและออกแบบแนวคิด นวัตกรรมเกี่ยวกับภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ
////////////////////////////////////
หมายเหตุสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คุณอิ๋มโทร 081-764-8088 หรือ 02-684-1288 ต่อ 210