Advertisement

Banner 600x250 px

Advertise with us

ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

ศาลจังหวัดยะลานัดไต่สวนคำร้อง กรณีมารดาพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ยื่นคำร้องให้บุตรชายเป็นคนสาบสูญ

ศาลจังหวัดยะลานัดไต่สวนคำร้อง กรณีมารดาพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง  ยื่นคำร้องให้บุตรชายเป็นคนสาบสูญ

31 January 2016

1167

  ศาลจังหวัดยะลาได้นัดไต่สวนคำร้องให้เป็นคนสาบสูญในวันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559  เวลา 09.00 น.  โดยเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558 นางอาอีเสาะ นะดารานิง มารดานายอิสมาแอ นะดารานิง ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งนายอิสมาแอ นะดารานิง เป็นบุคคลสาบสูญต่อศาลจังหวัดยะลา เป็นคดีหมายเลขดำที่ 527/2558   ขอเชิญผู้ที่สนใจและสื่อมวลชนเข้ารับฟังการพิจารณาของศาลได้วันและเวลาดังกล่าว การยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งนายอิสมาแอ นะดารานิง เป็นบุคคลสาบสูญ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เครือญาติของผู้สูญหายได้มีโอกาสสื่อสารกับสังคม ถึงความเดือนร้อนทางด้านสังคมและสภาวะจิตใจของญาติที่ยังคงติดตามและต้องการที่จะค้นหาความจริงซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง       ทั้งนี้เพื่อเผยแพร่และรณรงค์ให้สาธารณะได้ตระหนักรู้ถึงปัญหากรณีคนหายซึ่งคนในสังคมต้องช่วยกันและร่วมกันแก้ไข   เพื่อให้เกิดกลไกเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลทุกคนหายสาบสูญโดยการถูกบังคับ พร้อมทั้งยังแสดงให้เห็นว่าการบังคับให้บุคคลสูญหายยังเป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่ยังดำรงอยู่ การสืบสวนสอบสวนไม่มีประสิทธิภาพ  และไม่ปรากฎข้อเท็จจริงถึงชะตากรรมของคนหายโดยการบังคับ ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอเรียกร้อง ให้รัฐบาลไทยลงนามและให้สัตยาบันในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครอง บุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยการถูกบังคับ ซึ่งจะทำให้รัฐมีข้อผูกพันที่จะต้องแก้ไขกฎหมายภายในประเทศให้สอดคล้องกับ อนุสัญญาด้วย                   ข้อเท็จจริงเบื้องต้นกรณีพลทหารอิสมาแอ นะดารานิง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2558 ทางมูลนิธิศูนย์ทนายความและมูลนิธิผสานวัฒนธรรม รับให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ครอบครัวนะดารานิง แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นมากว่า 5 ปีแล้ว โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2553 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2553 นายอิสมาแอ นะดารานิง บุตรชายนางอาอีเสาะ นะดารานิง ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่เป็นพลทหาร อยู่ที่สังกัดกองร้อยปืนเล็กที่ 4 กองพันทหารราบที่ 8  ค่ายกรมหลวงสงขลานครินทร์ ซึ่งตั้งอยู่ถนนริมทะเล ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา โดยในวันดังกล่าวมารดาได้ให้ข้อมูลว่าบุตรชายได้โทรศัพท์หาตนเมื่อเวลา 10.00 น.ว่าต้องการกลับบ้าน แต่ไม่มารดาไม่ให้กลับบ้าน เนื่องจากยังอยู่ประจำการไม่ถึงเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2553 นางอาอีเสาะ ฯได้ไปเยี่ยมบุตรชายที่ค่ายดังกล่าว แต่ไม่พบตัวบุตรชายแต่อย่างใด ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารที่ค่ายได้บอกว่า พลทหารอิสมาแอฯได้ออกจากค่ายไปแล้ว เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2553    หลังจากเกิดเหตุการณ์ครอบครัวได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจอำเภอรามัน จังหวัดยะลา และได้ไปร้องเรียนต่อองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ เบื้องต้นทางมูลนิธิศูนย์ทนายมุสลิม ประจำจังหวัดยะลาได้ช่วยเหลือสอบถามความคืบหน้ากรณีพลทหารอิสมาแอฯซึ่งบิดา ได้ร้องเรียนเกี่ยวกับบุตรชายได้หายตัว ซึ่งทางกรมพันทหารราบที่ 8 กรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงสงขลานครินทร์ได้ส่งหนังสือชี้แจงกรณีพลทหารอิสมาแอ ได้หนีราชการไปในขณะรักษาพยาบาลที่หมวดพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2553 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีพลทหารหนีออกนอกกอง และสรุปผลการสอบสวนแล้ว ในเดือนมิถุนายน 2553 พลทหารอิสมาแอ นะดารานิง ได้เข้ารับการรักษาตัวที่หมวดพยาบาล กองร้อยกองบังคับการและบริการฯจริง และได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 และเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2553 พลทหารอิสมาแอ ฯ ได้ขออนุญาตไปตรวจที่โรงพยาบาลโรงพยาบาลฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 และหลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาที่หน่วยอีกเลย  นับตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2553 วันที่ขาดการติดต่อกลับมายังครอบครัวจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลาครบ 5 ปีตามกฎหมาย (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61) ขอให้ศาลสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ การบังคับให้บุคคลสูญหาย ตามอนุสัญญาการป้องกันบุคคลจากการบังคับให้สูญหายขององค์การสหประชาชาติ(The International Convention on for the Protection of All Persons from  Enforced Disappearance)  หมายถึงการทำให้บุคคลสูญเสียเสรีภาพไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใดหรือด้วยเหตุผลใดซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลหรือกลุ่มคนที่กระทำโดยการได้รับคำสั่ง ได้รับการสนับสนุน หรือการยินยอมจากรัฐ และรวมทั้งการไม่เปิดเผยข้อมูลหรือการปฏิเสธในการรับรู้ถึงการสูญเสียเสรีภาพหรือ การสูญหายของบุคคล หรือการปิดบังข้อมูลความจริงหรือสถานที่ของบุคคลผู้สูญหาย ภายใต้คำจำกัดความนี้บุคคลทั้งหมดนี้ได้กระทำการหรือสั่งให้มีการปิดบังหรือไม่เปิดเผยถิ่นพำนักของบุคคลที่หายตัวไป ก็จัดว่าเป็นการกระทำภายใต้การทำให้บุคคลสูญหายตามอนุสัญญาฯฉบับนี้ด้วย นอกจากนี้ยังยังมี สิทธิในการรับทราบความจริง (Right to know the Truth) ในกรณีการบังคับบุคคลสูญหายถือเป็นหัวใจสำคัญของอนุสัญญาป้องกันการบังคับให้บุคคลสูญหายของสหประชาชาติ ซึ่งสิทธิดังกล่าวยังได้ถูกเน้นย้ำถึงในกฎหมายระหว่างประเทศที่รับรองโดยสหประชาชาติอีกหลายฉบับ ซึ่งต่อมาคณะทำงานด้านปัญหาการบังคับบุคคลสูญหาย หรือการสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติ (UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances- UNWGEID) นำหลักการแห่งสิทธิดังกล่าวมาอธิบายเพิ่มเติมอย่างเป็นเอกเทศว่า สิทธิการรับทราบความจริง (ในกรณีคดีบังคับบุคคลสูญหาย) หมายถึงสิทธิที่จะรับทราบตลอดกระบวนการและผลลัพธ์ของกระบวนการสืบสวนสอบสวน รวมทั้งรับทราบชะตากรรมของผู้สูญหาย สภาพการณ์ที่เกิดการสูญหาย และรวมทั้งผู้ก่ออาชญากรรม ทั้งนี้การอธิบายเพิ่มเติมนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้มีการพัฒนาเครื่องมือ และกลไกที่มีประสิทธิภาพในการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งๆ และมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลในการปกป้องส่งเสริมสิทธิทั้งในระดับบุคคลและสังคม เนื่องจากเน้นย้ำการแสดงข้อเท็จจริงที่ได้ต่อสาธารณะ ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ นางสาวสุภาวดี สายวารี   ทนายความมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ประจำจังหวัดยะลา  084-1950372    นายปรีดา นาคผิว มูลนิธิผสานวัฒนธรรม 089-6222474

Recent posts