22 December 2015
1264
หลังจากที่ประเทศไทยถูกสหรัฐอเมริกาจัดอันดับปัญหาการค้ามนุษย์ให้อยู่ในระดับ 3 (Tier 3) เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ก็ทำให้เกิดการตื่นตัวจากทุกภาคส่วนในสังคมไทยในการหาทางยกระดับปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้พ้นจากระดับ 3 ให้ได้โดยเร็ว ในส่วนปัญหาเด็กขอทานนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพหลักในการดูแลปัญหาดังกล่าวนี้ โดยตลอดปี 2558 ทางกระทรวงฯ ได้ดำเนินการจัดระเบียบคนขอทานทั่วประเทศทั้งหมด 6 ครั้ง ซึ่งสามารถช่วยเหลือขอทานทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้มากกว่า 1,000 รายเลยทีเดียว และทำให้สามารถลดจำนวนขอทานตามข้างถนนได้พอสมควร โดยหากดูจากสถิติการรับแจ้งเบาะแสการนำเด็กมาเป็นเครื่องมือในการขอทานของโครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน มูลนิธิกระจกเงา ตลอดปี 2558 นั้น มีจำนวนการรับแจ้งเบาะแสอยู่ที่ประมาณ 300 ราย ซึ่งลดลงจากปี 2557 ที่มีจำนวนการรับแจ้งเบาะแสรวมทั้งสิ้น 404 ราย นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นว่าการจัดระเบียบคนขอทานทั่วประเทศนั้นช่วยให้เกิดการลดจำนวนคนขอทานตามข้างถนนได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามจำนวนของขอทานที่ลดลงนั้นอาจไม่ได้เป็นการลดจำนวนลงอย่างยั่งยืนนัก เนื่องจากการจัดระเบียบในแต่ละครั้งที่ผ่านมา มักมีกลุ่มขอทานที่มาจากประเทศกัมพูชาลักลอบกลับเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อมาทำการขอทานซ้ำอยู่เสมอ นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นถึงปัญหา 2 ประการ คือ 1. มาตรการในการป้องกันตามแนวชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชายังคงมีช่องว่างที่ทำให้สามารถลักลอบเข้าสู่ประเทศไทยได้อย่างไม่ยากนัก และ 2.การส่งกลับขอทานไปยังประเทศต้นทางนั้น ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการส่งกลับแบบมีคุณภาพ เพราะไม่มีการทำงานร่วมกับประเทศต้นทางอย่างต่อเนื่องว่าจะมีแนวทางในการส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมหรือหารือถึงแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตของขอทานให้ดีขึ้นได้ จากเหตุผล 2 ประการนี้จึงเป็นผลให้กลุ่มขอทานที่ถูกส่งกลับประเทศต้นทางมีโอกาสที่จะกลับเข้าสู่วงจรการขอทานซ้ำอีก ดังนั้นการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งประเทศไทยและกัมพูชา เพื่อหามาตรการในการป้องกันตามแนวชายแดนและการหาทางพัฒนาคุณภาพชีวิตของขอทานข้ามชาติให้สามารถเลิกพฤติกรรมนี้ได้ก็ยังคงต้องหาทางเดินหน้าในการเจรจาหารือร่วมกันต่อไปในอนาคต ในส่วนของขอทานที่เป็นคนไทยนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ออกนโยบายในการส่งเสริมทักษะการใช้ชีวิตเบื้องต้นภายใต้โครงการ “ธัญบุรีโมเดล” ซึ่งเป็นโครงการที่นำกลุ่มคนขอทานที่ได้รับการช่วยเหลือมาทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ โดยหากขอทานรายใดสามารถพัฒนาทักษะตนเองได้มากพอสมควรแล้วก็จะมีการส่งไปยังนิคมสร้างตนเองต่อไป หากมองถึงหลักการของโครงการ “ธัญบุรีโมเดล” แล้ว ก็ถือเป็นโครงการที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว แต่ในทางความเป็นจริงแล้ว ผลที่ได้กลับไม่สามารถทำให้กลุ่มขอทาน “อาชีพ” เลิกพฤติกรรมการขอทานได้แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่าขอทานส่วนใหญ่นั้นเมื่อได้รับความช่วยเหลือออกจากข้างถนนแล้ว มักมีความประสงค์ที่จะกลับสู่ภูมิลำเนาของตนเองให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้กลับมาทำการขอทานซ้ำอีกครั้ง มากกว่าที่จะไปประกอบอาชีพที่สุจริตอื่นๆ โดยเหตุผลก็เป็นเพราะว่ารายได้จากการขอทานในแต่ละวันมีมูลค่าสูงกว่าการประกอบอาชีพที่สุจริตนั่นเอง นี่คือข้อเท็จจริงที่ทางกระทรวงฯ คงต้องนำมาขบคิดต่อไปว่าจะทำให้อย่างไรให้กลุ่มขอทาน “อาชีพ” เหล่านี้เลิกพฤติกรรมการมาเร่ขอทานตามข้างถนนและหันมาประกอบอาชีพสุจริตอย่างจริงจัง ในส่วนที่น่าชื่นชมกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) คือ เริ่มมีการตรวจ DNA เพื่อยืนยันความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างผู้ใหญ่ที่พาเด็กมาทำการขอทานบ้างแล้ว โดยในปัจจุบันนี้มีสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จังหวัดนนทบุรี ที่ใช้มาตรการตรวจ DNA ผู้ใหญ่ที่มาขอทานกับเด็กในทุกราย ซึ่งถือเป็นประโยชน์ในด้านที่ว่าสามารถป้องกันการแอบอ้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็กที่มาขอทานได้อย่างชัดเจนที่สุดและคาดว่าในอนาคตน่าจะมีการนำกระบวนการตรวจ DNA นี้มาใช้ในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งตามจังหวัดต่างๆ ต่อไป นอกจากนโยบายการจัดระเบียบคนขอทานแล้ว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยังได้เข้ามามีบทบาทในการรณรงค์สร้างการมีส่วนร่วมต่อสังคมเกี่ยวกับการช่วยเหลือเด็กขอทานอย่างถูกวิธี ภายใต้สโลแกน “ให้ทานอย่างถูกวิธี ลดวิถีการขอทาน” อีกด้วย โดยในส่วนของกิจกรรมรณรงค์นั้นก็ยังถือว่าไม่ค่อยมีรูปธรรมที่พอจะจับต้องได้มากนัก เพราะขาดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากทางกระทรวงฯ จะทำการรณรงค์ให้คนในสังคมได้เข้าใจถึงสภาพปัญหาการนำเด็กมาเป็นเครื่องมือในการขอทาน ควรมีการจัดทำสื่อรณรงค์ในเชิงของการให้ความรู้กับคนในสังคมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการให้เงินกับเด็กขอทานและแนะนำให้ผู้ที่พบเห็นเด็กขอทานแจ้งเบาะแสมายังศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมต่อสังคมในการแก้ไขปัญหาเด็กขอทานในประเทศไทยด้วยกัน และในปี 2558 นี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยังได้มีการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน พ.ศ.2484 ด้วยเหตุผลเพราะกฎหมายฉบับนี้ได้มีการบังคับใช้มานานและบทบัญญัติต่างๆ ไม่สอดคล้องต่อสภาวการณ์ปัจจุบัน รวมถึงไม่มีบทกำหนดโทษต่อผู้ที่มาทำการขอทานอย่างชัดเจน เพียงแต่ระบุให้ส่งเข้ารับการสงเคราะห์เท่านั้น อีกทั้งการมาแสดงดนตรีหรือความสามารถต่างๆ ก็ไม่อาจอ้างได้ว่าไม่ใช่ขอทานอีกด้วย จากเหตุต่างๆ เหล่านี้จึงได้มีการเสนอให้ปรับแก้กฎหมายฉบับดังกล่าว โดยเนื้อหาหลักๆ ที่มีการปรับแก้เพิ่มเติมมีดังนี้ 1. การระบุโทษของผู้ที่มาทำการขอทานว่าจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ 2. การแสดงดนตรีหรือความสามารถต่างๆ ไม่ถือเป็นการขอทาน แต่จำต้องขออนุญาตต่อองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ก่อน ซึ่งหากทำการแสดงโดยไม่ขออนุญาตจะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือ หากขออนุญาตแต่มิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์หรือระเบียบข้อบังคับก็จะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท