4 รางวัลป่างามน้ำใสปี 2558 "ต้นไม้ให้สี : ความมั่นคงทางอาชีพ สุขภาพ และ สิ่งแวดล้อม ในชุมชน"
6 November 2015
1506
ความเป็นมาขององค์กร
มูลนิธิขวัญชุมชน เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ดำเนินโครงการพัฒนาด้านเด็ก/เยาวชน สตรี และ ครอบครัว โดยเน้นการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อนำไปแก้ไขปัญหา และ สร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคล ครอบครัว และ ชุมชน โดยทำงานผ่านโครงการพัฒนาด้านต่างๆ เช่น จัดบริการศูนย์ดูแลเด็กเล็กวัย 2- 5 ขวบที่ครอบครัวสนใจการศึกษาแนวทางเลือก , โครงการพัฒนากลุ่มสตรีเพื่อความมั่นคงทางสุขภาพ อาชีพ และการรักษาสิ่งแวดล้อม , โครงการเพศปลอดภัยของเด็กและเยาวชนในชุมชน , โครงการปลูกต้นไม้ในครัวเรือน , โครงการสร้างบ้านด้วยใจเพื่อคนพิการในชุมชน ฯลฯ มูลนิธิขวัญชุมชนเปิดดำเนินงานมานับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 เป็นต้นมาจวบจนปัจจุบัน
ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นที่
จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่มีการประกอบอาชีพผ้าไหมที่สำคัญของประเทศไทย ประชากรในจังหวัดมีประมาณ 1.4 ล้านคน เป็นคนที่อยู่ในวัยแรงงาน 772,929 คน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานชายจำนวน 447,335 คน และหญิงจำนวน 325,593 คน คิดเป็นร้อยละ 62 : 45 ใน กลุ่มประชากรวัยแรงงานทั้งผู้หญิงและผู้ชายในวัย 40 – 60 ปี และแรงงานสมทบ ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็ก เป็นแรงงานรากหญ้าหลักที่ใช้เวลาและกำลังแรงงานอยู่ในระบบการผลิตผ้าไหมจำนวนไม่น้อยกว่า 16,055 คน สร้างฐานเศรษฐกิจให้กับธุรกิจผ้าไหมปีละไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท/ปี
จังหวัดสุรินทร์เป็นถิ่นวัฒนธรรมสามเผ่าคือเขมร ลาว และ ชาวกูย มีทักษะการทอผ้าเป็นพื้นฐานในสมัยก่อนผู้หญิงจะเป็นผู้สืบทอดศิลปะวัฒนธรรมการทอผ้าโดยสีธรรมชาติ แต่ในรอบสามสิบปีที่ผ่านมาพื้นที่ตำบลจารพัต อำเภอศรีขรภูมิ และบ้านสนม อำเภอสนม ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีการทอผ้าสีธรรมชาติไม่ได้ทอด้วยสีธรรมชาติแล้วเพราะป่าไม้และความอุดมสมบูรณหายไป ชาวบ้านจึงหันมาใช้สีเคมีในการย้อมเส้นไหมเพราะสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก มูลนิธิขวัญชุมชน ดำเนินโครงการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาชีพและสุขภาพกับกลุ่มผู้หญิงทอผ้าในตำบลจารพัต ซึ่งเป็นตำบลที่มีแรงงานทอผ้าอยู่จำนวน 1,050 ครัวเรือนจำนวนแรงงานการผลิตที่อยู่ในวิสาหกิจผ้าไหมของตำบลประมาณ 2,500 คน โครงการดังกล่าวดำเนินงานนับตั้งแต่เดือนธันวาคมพ.ศ. 2556 – กันยายน พ.ศ. 2558 โดยทำการศึกษาสภาพปัญหาและผลกระทบทางสุขภาพในกลุ่มผู้หญิงทอผ้าในชุมชน
การดำเนินโครงการดังกล่าวพบปัญหาของการประกอบอาชีพผ้าไหมที่เชื่อมโยงต่อปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในชุมชน ดังนี้
ปัญหาด้านสุขภาพ มีการทำสำรวจคนทอผ้าจำนวน 401 ครัวเรือนพบว่ามีการเจ็บป่วยด้านร่างกายและการยศาสตร์เช่นปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว ปวดหลัง ปวดขา ปวดไหล่ ฯลฯเพราะต้องใช้เวลาเข้มข้นมากกว่าวันละ 6-8 ชั่วโมงในการทอผ้า บางคนถึงขั้นเจ็บป่วยเช่นโรคหมอนรองกระดูกอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และ การเมื่อยล้าตามร่างกาย
ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและน้ำทิ้งในกระบวนการฟอกและย้อมเส้นไหมด้วยสีเคมี ในช่วงที่ยังไม่มีการพัฒนาด้านสี สีเคมีที่ใช้ย้อมผ้าจะมีสารประกอบโลหะหนักเช่นแคดเมียด โครเมี่ยม สารตะกั่ว และสารปรอท แม้ปัจจุบันจะมีการพัฒนาสีย้อมผ้าให้ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมคือ มีการตรวจรับรองมาตรฐานสีเคมีสำหรับย้อมเส้นไหมและเส้นฝ้ายที่ไม่มีสารประกอบ AZO DYES ที่เป็นอันตราย เพื่อให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจทอผ้าได้เลือกใช้ แต่ในสีเคมีย้อมผ้าก็ยังมีสารประกอบอินทรีย์สารที่ส่งผลต่อระบบสิ่งแวดล้อม คูคลองและแหล่งน้ำ หากชาวบ้านย้อมเพียง 1 หลังคงไม่มีปัญหาใดๆแต่ปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า และครัวเรือนในตำบลจารพัตและตำบลสนม ที่มีการย้อมสีเส้นไหมและเส้นฝ้ายจำนวนประมาณ 1,500 ครัวเรือนเปรียบกับโรงงานอุตสาหกรรมขยายใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้เพราะหลังกระบวนการย้อมเส้นฝ้าย และ เส้นไหมชาวบ้านก็จะสาดน้ำเหลือทิ้งลงตามร่องระบายน้ำหน้าบ้านตนเอง สาดลงตามพื้นดิน ใช้ฆ่ามดฆ่าปลวดตามเสาบ้าน ไหลสู่ร่องระบายน้ำในหมู่บ้าน สู่คูคลอง แปลงเกษตร และ บ่อน้ำสาธารณะ
ปัญหาการจัดการน้ำเสียจากการย้อมเส้นไหมในชุมชน มีการทำการศึกษาวิจัยโดย รศ.รัตนา มหาชัย ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปีพ.ศ. 2553 ในเอกสารสรุปการศึกษานี้ กล่าวไว้อย่างชัดเจนเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของครัวเรือนทอผ้า ซึ่งองค์กรส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านสาธารณสุขในตำบล และตัวชาวบ้านในชุมชน แต่เดิมไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบมากนักเพราะมีความเชื่อว่าทำต่อๆกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย แต่เมื่อโครงการฯได้ศึกษาปัญหาและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากเอกสารงานวิจัยต่างๆพบว่า น้ำเหลือทิ้งและขยะสารเคมีในกระบวนการผลิตผ้าไหมของชาวบ้านในชุมชน จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนในชุมชนระยะยาวไม่น้อยกว่า 100 ปีหากไม่มีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตผ้าไหม
การดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชน โดยมูลนิธิขวัญชุมชนร่วมกับแกนนำชุมชน
ตำบลจารพัต และ บ้านสำโรง ตำบลสนม มีดังนี้
ในพื้นที่ตำบลจารพัต ช่างชุมชนและช่างทอผ้าจำนวน 12 คน หาความรู้ความเข้าใจ เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมในการประกอบอาชีพ โดยเดินทางไปดูงานต้นแบบของการบำบัดน้ำเสียในการผลิตผ้าไหมที่หมู่บ้านหนองอาบช้าง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ , กลุ่มฝ้ายพันดาว อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง และการผลิตผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติที่บ้านโพนพับ จังหวัดร้อยเอ็ด ภายหลังจากดูงานทั้งการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนวิถีการผลิตผ้าไหมจากสีเคมีเป็นสีธรรมชาติ เกิดกลุ่มและคุ้มบ้านที่มีการเปลี่ยนแปลงตนเองดังนี้ กลุ่มย้อมสีธรรมชาติจำนวน 2 กลุ่มประกอบด้วย
- กลุ่มของนางสมใจ จำปาทอง บ้านไทร หมู่ที่ 7 ตำบลจารพัต เปลี่ยนมาทำการผลิตผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติอาบโคลนดอกบัว และ จัดทำบ่อบำบัดน้ำเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตผ้าไหม ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 30 คน โดยมีการกระจายงานให้กับคนพิการและผู้สูงอายุในชุมชนด้วย
- กลุ่มของนางจันทร์สาด บ้านจันทร์แสง หมู่ 17 ตำบลจารพัต เปลี่ยนมาทำการผลิตผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติ ปรับปรุงบ่อบำบัดน้ำเหลือทิ้ง และ จัดทำเตาย้อมแบบประหยัดพลังงาน มีสมาชิกกลุ่ม 19 คน
- กลุ่มคนรับย้อมผ้าสีเคมี เช่น บ้านนางพุน พันระหาร คนรับย้อมวันละ 10 หัว/5 กิโลกรัม/วัน มีการปรับเปลี่ยนการย้อมโดยทำบ่อกักเก็บสารเคมี แยกขยะสารเคมีและอุปกรณ์การย้อมให้ห่างจากครัวเรือน เข้ารับการรักษาสุขภาพที่คลีนิคโรคจากการทำงานด้วยอาการปอดอักเสบและมีรูพรุน
- กลุ่มทอผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ บ้านสำโรง ตำบลสนม เริ่มฟื้นฟูการย้อมฝ้ายสีธรรมชาติ การปลูกต้นฝ้าย และ ฟื้นฟูการทอผ้าลายขิด ซึ่งเดิมได้เคยหายไปจากคนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านแล้ว แต่เมื่อมีการอบรมอาชีวอนามัยและปัญหาสุขภาพของคนทอผ้า ทำให้ชาวบ้านเกิดความตื่นตัวอย่างมาก
- การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มทอผ้าจากสีเคมีเป็นสีธรรมชาติทั้ง 3 กลุ่มเริ่มหันมาให้ความสนใจที่จะทำกระบวนการธรรมชาติอย่างครบวงจร คือ เมื่อเปลี่ยนกระบวนการผลิตเป็นสีธรรมชาติ ก็ต้องเริ่มมองหาไม้ที่จะสามารถให้สีได้ในรอบๆบ้านหรือในหมู่บ้านของตนเอง และเริ่มที่คิดจะต้องปลูกต้นไม้ให้สีเพื่อทดแทนต้นไม้ที่ตนเองไปนำมาใช้ประโยชน์

ปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมา
การเริ่มต้นแก้ไขปัญหาด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต แกนนำผู้หญิงทอผ้าเป็นคนเริ่มนำร่องดำเนินงานก่อนจากนั้นไปสู่พ่อบ้านเพราะเป็นคนไปหาต้นไม้ในป่าชุมชนหรือไม่ก็สั่งซื้อจากป่าชายแดน แต่เมื่อปัญหามันใหญ่ขึ้น เช่น กลุ่มชาวบ้านที่ย้อมผ้าวันละ 50 กิโลกรัมต่อวัน จะมีประเด็นอื่นๆร่วมด้วยเช่น เรื่องขยะสารเคมี ซองสีเคมี ซองสารฟอกสี ฯลฯ เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านยังไม่สามารถจัดการปัญหาขยะสารเคมีในกระบวนการผลิตผ้าไหม ต้องการให้ทางองค์การบริหารส่วนตำบล งานอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลตำบลเข้ามาช่วยทำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (ขยะพิษ) ในตำบลไปพร้อมกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูไม้ให้สีในพื้นที่ป่าสาธารณะ แต่ยังเป็นอุปสรรคเพราะการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่ในระดับตำบลที่จะต้องสานพลังและความร่วมมือกับกลไกทุกภาคส่วนในตำบลให้มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
เนื่องจากพื้นที่ป่าชุมชนลดลงอย่างมากทั้งในพื้นที่ตำบลจารพัตมีปัญหาเรื่องน้ำเสีย ซึ่งเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงจากการใช้สีเคมีปริมาณมาก ป่าเสื่อมโทรม ส่วน บ้านสำโรง ตำบลสนม ขาดแคลนไม้ให้สีและคนเฒ่าคนแก่ที่มีความรู้เรื่องสีธรรมชาติเริ่มชราภาพ ส่งผลให้กลุ่มผู้หญิงที่ทอผ้าเกิดการขาดช่วงองค์ความรู้ ขาดแคลนต้นไม้ให้สีด้วย มีความจำเป็นต้องไปสั่งซื้อไม้ให้สีจากพื้นที่อื่น เช่น ตำบลบัวเชด พื้นที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา และ สั่งซื้อสีครั่งจากร้านค้าในตัวจังหวัดซึ่งมีราคาสูงมากและต่อไปจะส่งผลต่อราคาผ้าทอสีธรรมชาติด้วยหากไม่มีการฟื้นฟูองค์ความรู้และรักษาป่าไม้ในชุมชน
บทเรียนและนวัตกรรม
บทเรียน ด้านผลกระทบต่อสุขภาพคนทอผ้า ในการทำงานโครงการสร้างความมั่นคงในอาชีพ สุขภาพและสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต มูลนิธิขวัญชุมชน และ แกนนำนักวิจัยชาวบ้านตำบลจารพัตจำนวน 30 คน ได้ร่วมกันทำสำรวจสภาพปัญหาและผลกระทบทางสุขภาพคนทอผ้า พบปัญหาความเสี่ยงทางสุขภาพและความไม่ปลอดภัยหากไม่มีการดูแลตนเอง เช่น การใช้สารเคมีในกระบวนการเลี้ยงไหมและผลิตผ้าไหม , การนั่งทำงานในท่าทางเดิมเป็นเวลานานก่อให้เกิดความเจ็บป่วยทางร่างกาย การบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อและกระเพาะอาหาร ปัญหาเรื่องแสงและความสั่นสะเทือน ความเครียดจากการทำงาน เมื่อคนทอผ้าสำรวจทราบว่า ตนเองและคนทอผ้าในชุมชนมีสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยมาจากการทำอาชีพทอผ้าที่ทำอยู่กันทุกวันส่งผลต่อสุขภาพหากไม่ดูแลตนเอง การได้รับความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและอาชีพส่งผลต่อการปรับพฤติกรรมดูแลสุขภาพคนทอผ้าในชุมชนและเป็นการทำงานเชิงรุก
นวัตกรรม การจัดทำบ่อบำบัดน้ำเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตผ้าไหม โดยทีมช่างชุมชนในตำบลจารพัต ที่ได้ร่วมศึกษาดูงานและปรับปรุงต้นแบบจากเดิมเป็นการแก้ไขปัญหาด้วยการขุดหลุมดินธรรมดา ค่อยปรับมาเป็นบ่อกักขนาด 3 บ่อ และ พัฒนาปรับปรุงแบบตามต้นแบบของรศ.รัตนา มหาชัย ซึ่งมูลนิธิขวัญชุมชนได้จัดอบรมให้ความรู้เรื่องการจัดทำบ่อกักเก็บสารเคมีจากการย้อมเส้นไหมสีเคมีและสีธรรมชาติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมาและชาวบ้านจะมีการปรับปรุงแบบที่ถูกต้องต่อไป
วิธีการย้อมผ้าของชาวบ้านก่อนเริ่มโครงการ ไม่มีการจัดการสิ่งแวดล้อม คนทอผ้าไม่มีการใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ต้องสูดดมฟูมเคมีและสารเคมีจากสารฟอกไหมและสีเคมี และไม่มีการจัดการปัญหาขยะพิษ หลังจากการทำงาน

ภายหลังจากการเข้าร่วมโครงการเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้อนาชีวอนามัย ปรับพฤติกรรมมีการป้องกันสุขภาพ การปรับวิถีการผลิตโดยมีกลุ่มที่ทำบ่อกักสารเคมีในกระบวนการผลิต ภาพ: บ้านนางกำนิช ไชยพร ม.12 ต.จารพัต
ภายหลังการอบรมจาก รศ.รัตนา มหาชัย ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งได้ทำวิจัยพัฒนาต้นแบบและพิสูจน์การใช้งานของบ่อบำบัดว่ารับรองได้ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต ชาวบ้านจำนวน 4 ครัวเรือนในตำบลจารพัตจะมีการระดมทุนมาปรับปรุงบ่อบำบัดสีเคมีและน้ำเหลือทิ้งในกระบวนการผลิตเพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมในครัวเรือนตามต้นแบบที่ถูกต้อง
นวัตกรรม : การปรับกระบวนการผลิตจากสีเคมีเป็นสีธรรมชาติ ณ บ้านนางสมใจ จำปาทองหมู่ 7 บ้านไทร และนางจันทร์สาด หมู่ 17 บ้านจันทร์แสง ตำบลจารพัต
นางสมใจ จำปาทองกับงานมัดหมี่สีธรรมชาติ ได้สุขภาพที่ดีของตนเองกลับคืนและสร้างเศรษฐกิจให้กับหมู่บ้าน
นางจันทร์สาด เริ่มทอสีธรรมชาติและเทคนิคมัดหมี่เส้นยืน ปรับใต้ถุนบ้านเป็นที่รวมกลุ่ม ทำบ่อบำบัดน้ำทิ้งหลังย้อม และ เตาประหยัดพลังงานเอง
2.6 การดำเนินงานโครงการ
- จากผลงานความสำเร็จในการแก้ปัญหาข้างต้น (ข้อ 5) ท่านได้นำแนวทาง เทคนิค วิธีการ หรือได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มาต่อยอดและขยายผลงาน ในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง ?
ผลจากความสำเร็จในการดำเนินโครงการที่จะต่อยอด และขยายผลงานในการแก้ไข
ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน คือ
- การพัฒนาขยายผลงานกลุ่มย้อมสีธรรมชาติ และการฟื้นฟูภูมิปัญญาเดิม ของผู้หญิงสามรุ่น คือ
รุ่นย่ายาย รุ่นปัจจุบัน และ คนรุ่นใหม่ที่สนใจงานผ้าธรรมชาติ ระหว่างหมู่บ้าน ตำบล และ คนรุ่นใหม่ที่เป็นนักออกแบบด้านภัสตราภรณ์ เพื่อเชื่อมโยงศักยภาพของคนแต่ละรุ่นให้มาร่วมกันพัฒนางานผ้าไหมและผ้าฝ้ายสีธรรมชาติ การจัดกระบวนการเรียนรู้คนสามรุ่นนี้ จะเน้นเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงจากวิธีการย้อมไม้ให้สีอื่นๆ พัฒนา และ ปรับประยุกต์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดรุ่นใหม่ ถ่ายทอดเทคนิค การย้อมสีจากครั่ง(สีแดง) ไม้เข และ ไม้ประโหด (ให้สีเหลือง) ที่ได้คุณภาพที่สวยงามขึ้นโดยการเชื่อมต่อวิธีคิดของคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์งานสีธรรมชาติที่สอดคล้องกับตลาด GREEN ต่อยอดสู่การเป็นกิจการเพื่อสังคม
- เริ่มเชื่อมโยงงานสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ การปลูกไม้ให้สีทดแทน ในพื้นที่ป่าของชุมชน ถนนสาธารณะ ป่า
ครอบครัว ขอบถนนในหมู่บ้าน โดยทำการเพาะพันธ์และหาไม้ให้สีที่กำลังเป็นไม้หายากเช่นไม้ประดูไม้แดง ต้นขี้เหล็ก ต้นเพกา ต้นคูน หรือไม้มงคลทั้งเก้า ฟื้นฟูและเชื่อมโยงจากการทำงานอาชีพสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อันรวมถึงการจัดการปัญหาน้ำเสียจากกระบวนการผลิตผ้าไหมในชุมชนด้วย
- การเชื่อมโยงสานพลังความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในตำบลให้ร่วมกันตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ปลุกสำนึกรัก
- วิธีการและตัวชี้วัดการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน (ระบุ)
- ติดตามผลโดยการลงตรวจนับจำนวนไม้ให้สีที่ปลูกในพื้นที่สาธารณะมีอัตรารอดจำนวนไม้น้อยกว่าร้อยละ50 – 80 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่รณรงค์ปลูกต้นไม้ในแต่ละปี
- กลุ่มแม่บ้านที่ย้อมสีธรรมชาติ 3 กลุ่มจาก 3 หมู่บ้าน จำนวนไม่น้อยกว่า 20 – 30 คน มีความรู้ในการผลิตสีจากธรรมชาติ มีการทำระบบ Sumply – Chain ในกระบวนการผลิต และ มีความตระหนักต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในฐานะของผู้ใช้ทรัพยากรที่ต้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติด้วย
คนทอผ้าย้อมสีธรรมชาติมีการจัดทำบันทึกการให้สีของต้นไม้เพื่อเป็นการบันทึกภูมิปัญญาของตนเองและส่งต่อให้กับลูกหลานที่มีความสนใจงานผ้าทอสีธรรมชาติ