ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

4 รางวัลป่างามน้ำใสปี 2558 "ต้นไม้ให้สี : ความมั่นคงทางอาชีพ สุขภาพ และ สิ่งแวดล้อม ในชุมชน"

4 รางวัลป่างามน้ำใสปี 2558

6 November 2015

1506

pro43 ความเป็นมาขององค์กร มูลนิธิขวัญชุมชน เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)   ที่ดำเนินโครงการพัฒนาด้านเด็ก/เยาวชน  สตรี และ ครอบครัว   โดยเน้นการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อนำไปแก้ไขปัญหา  และ สร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับบุคคล ครอบครัว และ ชุมชน   โดยทำงานผ่านโครงการพัฒนาด้านต่างๆ เช่น จัดบริการศูนย์ดูแลเด็กเล็กวัย 2- 5 ขวบที่ครอบครัวสนใจการศึกษาแนวทางเลือก ,  โครงการพัฒนากลุ่มสตรีเพื่อความมั่นคงทางสุขภาพ อาชีพ และการรักษาสิ่งแวดล้อม , โครงการเพศปลอดภัยของเด็กและเยาวชนในชุมชน ,  โครงการปลูกต้นไม้ในครัวเรือน , โครงการสร้างบ้านด้วยใจเพื่อคนพิการในชุมชน  ฯลฯ มูลนิธิขวัญชุมชนเปิดดำเนินงานมานับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547  เป็นต้นมาจวบจนปัจจุบัน   ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดที่มีการประกอบอาชีพผ้าไหมที่สำคัญของประเทศไทย ประชากรในจังหวัดมีประมาณ 1.4 ล้านคน  เป็นคนที่อยู่ในวัยแรงงาน 772,929 คน  ในจำนวนนี้เป็นแรงงานชายจำนวน 447,335 คน  และหญิงจำนวน 325,593 คน คิดเป็นร้อยละ 62 : 45 ใน  กลุ่มประชากรวัยแรงงานทั้งผู้หญิงและผู้ชายในวัย 40 – 60 ปี และแรงงานสมทบ ผู้สูงอายุ  คนพิการ เด็ก เป็นแรงงานรากหญ้าหลักที่ใช้เวลาและกำลังแรงงานอยู่ในระบบการผลิตผ้าไหมจำนวนไม่น้อยกว่า 16,055 คน สร้างฐานเศรษฐกิจให้กับธุรกิจผ้าไหมปีละไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท/ปี จังหวัดสุรินทร์เป็นถิ่นวัฒนธรรมสามเผ่าคือเขมร ลาว และ ชาวกูย  มีทักษะการทอผ้าเป็นพื้นฐานในสมัยก่อนผู้หญิงจะเป็นผู้สืบทอดศิลปะวัฒนธรรมการทอผ้าโดยสีธรรมชาติ  แต่ในรอบสามสิบปีที่ผ่านมาพื้นที่ตำบลจารพัต อำเภอศรีขรภูมิ และบ้านสนม อำเภอสนม ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีการทอผ้าสีธรรมชาติไม่ได้ทอด้วยสีธรรมชาติแล้วเพราะป่าไม้และความอุดมสมบูรณหายไป   ชาวบ้านจึงหันมาใช้สีเคมีในการย้อมเส้นไหมเพราะสะดวก รวดเร็ว ราคาถูก   มูลนิธิขวัญชุมชน  ดำเนินโครงการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาชีพและสุขภาพกับกลุ่มผู้หญิงทอผ้าในตำบลจารพัต  ซึ่งเป็นตำบลที่มีแรงงานทอผ้าอยู่จำนวน 1,050 ครัวเรือนจำนวนแรงงานการผลิตที่อยู่ในวิสาหกิจผ้าไหมของตำบลประมาณ 2,500 คน โครงการดังกล่าวดำเนินงานนับตั้งแต่เดือนธันวาคมพ.ศ. 2556 – กันยายน พ.ศ. 2558 โดยทำการศึกษาสภาพปัญหาและผลกระทบทางสุขภาพในกลุ่มผู้หญิงทอผ้าในชุมชน การดำเนินโครงการดังกล่าวพบปัญหาของการประกอบอาชีพผ้าไหมที่เชื่อมโยงต่อปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในชุมชน  ดังนี้ ปัญหาด้านสุขภาพ    มีการทำสำรวจคนทอผ้าจำนวน 401 ครัวเรือนพบว่ามีการเจ็บป่วยด้านร่างกายและการยศาสตร์เช่นปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว ปวดหลัง ปวดขา ปวดไหล่ ฯลฯเพราะต้องใช้เวลาเข้มข้นมากกว่าวันละ 6-8 ชั่วโมงในการทอผ้า  บางคนถึงขั้นเจ็บป่วยเช่นโรคหมอนรองกระดูกอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และ การเมื่อยล้าตามร่างกาย ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและน้ำทิ้งในกระบวนการฟอกและย้อมเส้นไหมด้วยสีเคมี  ในช่วงที่ยังไม่มีการพัฒนาด้านสี  สีเคมีที่ใช้ย้อมผ้าจะมีสารประกอบโลหะหนักเช่นแคดเมียด  โครเมี่ยม  สารตะกั่ว และสารปรอท แม้ปัจจุบันจะมีการพัฒนาสีย้อมผ้าให้ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมคือ มีการตรวจรับรองมาตรฐานสีเคมีสำหรับย้อมเส้นไหมและเส้นฝ้ายที่ไม่มีสารประกอบ AZO DYES ที่เป็นอันตราย เพื่อให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจทอผ้าได้เลือกใช้ แต่ในสีเคมีย้อมผ้าก็ยังมีสารประกอบอินทรีย์สารที่ส่งผลต่อระบบสิ่งแวดล้อม คูคลองและแหล่งน้ำ  หากชาวบ้านย้อมเพียง 1 หลังคงไม่มีปัญหาใดๆแต่ปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า และครัวเรือนในตำบลจารพัตและตำบลสนม ที่มีการย้อมสีเส้นไหมและเส้นฝ้ายจำนวนประมาณ 1,500 ครัวเรือนเปรียบกับโรงงานอุตสาหกรรมขยายใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้เพราะหลังกระบวนการย้อมเส้นฝ้าย และ เส้นไหมชาวบ้านก็จะสาดน้ำเหลือทิ้งลงตามร่องระบายน้ำหน้าบ้านตนเอง สาดลงตามพื้นดิน ใช้ฆ่ามดฆ่าปลวดตามเสาบ้าน ไหลสู่ร่องระบายน้ำในหมู่บ้าน  สู่คูคลอง แปลงเกษตร และ บ่อน้ำสาธารณะ ปัญหาการจัดการน้ำเสียจากการย้อมเส้นไหมในชุมชน มีการทำการศึกษาวิจัยโดย รศ.รัตนา มหาชัย ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อปีพ.ศ. 2553 ในเอกสารสรุปการศึกษานี้ กล่าวไว้อย่างชัดเจนเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของครัวเรือนทอผ้า  ซึ่งองค์กรส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านสาธารณสุขในตำบล และตัวชาวบ้านในชุมชน แต่เดิมไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบมากนักเพราะมีความเชื่อว่าทำต่อๆกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย แต่เมื่อโครงการฯได้ศึกษาปัญหาและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากเอกสารงานวิจัยต่างๆพบว่า น้ำเหลือทิ้งและขยะสารเคมีในกระบวนการผลิตผ้าไหมของชาวบ้านในชุมชน จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนในชุมชนระยะยาวไม่น้อยกว่า 100 ปีหากไม่มีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิตผ้าไหม   การดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชน  โดยมูลนิธิขวัญชุมชนร่วมกับแกนนำชุมชน ตำบลจารพัต และ  บ้านสำโรง ตำบลสนม  มีดังนี้ ในพื้นที่ตำบลจารพัต  ช่างชุมชนและช่างทอผ้าจำนวน 12 คน หาความรู้ความเข้าใจ เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมในการประกอบอาชีพ  โดยเดินทางไปดูงานต้นแบบของการบำบัดน้ำเสียในการผลิตผ้าไหมที่หมู่บ้านหนองอาบช้าง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่  , กลุ่มฝ้ายพันดาว  อำเภอเสริมงาม จังหวัดลำปาง และการผลิตผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติที่บ้านโพนพับ  จังหวัดร้อยเอ็ด   ภายหลังจากดูงานทั้งการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนวิถีการผลิตผ้าไหมจากสีเคมีเป็นสีธรรมชาติ   เกิดกลุ่มและคุ้มบ้านที่มีการเปลี่ยนแปลงตนเองดังนี้  กลุ่มย้อมสีธรรมชาติจำนวน 2 กลุ่มประกอบด้วย - กลุ่มของนางสมใจ จำปาทอง บ้านไทร หมู่ที่ 7 ตำบลจารพัต เปลี่ยนมาทำการผลิตผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติอาบโคลนดอกบัว และ จัดทำบ่อบำบัดน้ำเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตผ้าไหม  ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 30 คน โดยมีการกระจายงานให้กับคนพิการและผู้สูงอายุในชุมชนด้วย - กลุ่มของนางจันทร์สาด  บ้านจันทร์แสง  หมู่ 17 ตำบลจารพัต เปลี่ยนมาทำการผลิตผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติ  ปรับปรุงบ่อบำบัดน้ำเหลือทิ้ง และ จัดทำเตาย้อมแบบประหยัดพลังงาน มีสมาชิกกลุ่ม 19 คน - กลุ่มคนรับย้อมผ้าสีเคมี เช่น บ้านนางพุน พันระหาร  คนรับย้อมวันละ 10 หัว/5 กิโลกรัม/วัน มีการปรับเปลี่ยนการย้อมโดยทำบ่อกักเก็บสารเคมี แยกขยะสารเคมีและอุปกรณ์การย้อมให้ห่างจากครัวเรือน  เข้ารับการรักษาสุขภาพที่คลีนิคโรคจากการทำงานด้วยอาการปอดอักเสบและมีรูพรุน - กลุ่มทอผ้าฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ  บ้านสำโรง ตำบลสนม  เริ่มฟื้นฟูการย้อมฝ้ายสีธรรมชาติ  การปลูกต้นฝ้าย และ ฟื้นฟูการทอผ้าลายขิด ซึ่งเดิมได้เคยหายไปจากคนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านแล้ว  แต่เมื่อมีการอบรมอาชีวอนามัยและปัญหาสุขภาพของคนทอผ้า  ทำให้ชาวบ้านเกิดความตื่นตัวอย่างมาก - การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มทอผ้าจากสีเคมีเป็นสีธรรมชาติทั้ง 3 กลุ่มเริ่มหันมาให้ความสนใจที่จะทำกระบวนการธรรมชาติอย่างครบวงจร  คือ เมื่อเปลี่ยนกระบวนการผลิตเป็นสีธรรมชาติ  ก็ต้องเริ่มมองหาไม้ที่จะสามารถให้สีได้ในรอบๆบ้านหรือในหมู่บ้านของตนเอง  และเริ่มที่คิดจะต้องปลูกต้นไม้ให้สีเพื่อทดแทนต้นไม้ที่ตนเองไปนำมาใช้ประโยชน์

pro42

ปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมา การเริ่มต้นแก้ไขปัญหาด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต  แกนนำผู้หญิงทอผ้าเป็นคนเริ่มนำร่องดำเนินงานก่อนจากนั้นไปสู่พ่อบ้านเพราะเป็นคนไปหาต้นไม้ในป่าชุมชนหรือไม่ก็สั่งซื้อจากป่าชายแดน  แต่เมื่อปัญหามันใหญ่ขึ้น เช่น กลุ่มชาวบ้านที่ย้อมผ้าวันละ 50 กิโลกรัมต่อวัน  จะมีประเด็นอื่นๆร่วมด้วยเช่น เรื่องขยะสารเคมี  ซองสีเคมี  ซองสารฟอกสี  ฯลฯ  เป็นจำนวนมาก  ชาวบ้านยังไม่สามารถจัดการปัญหาขยะสารเคมีในกระบวนการผลิตผ้าไหม  ต้องการให้ทางองค์การบริหารส่วนตำบล งานอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลตำบลเข้ามาช่วยทำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (ขยะพิษ) ในตำบลไปพร้อมกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูไม้ให้สีในพื้นที่ป่าสาธารณะ  แต่ยังเป็นอุปสรรคเพราะการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่ในระดับตำบลที่จะต้องสานพลังและความร่วมมือกับกลไกทุกภาคส่วนในตำบลให้มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เนื่องจากพื้นที่ป่าชุมชนลดลงอย่างมากทั้งในพื้นที่ตำบลจารพัตมีปัญหาเรื่องน้ำเสีย ซึ่งเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงจากการใช้สีเคมีปริมาณมาก ป่าเสื่อมโทรม   ส่วน บ้านสำโรง ตำบลสนม ขาดแคลนไม้ให้สีและคนเฒ่าคนแก่ที่มีความรู้เรื่องสีธรรมชาติเริ่มชราภาพ ส่งผลให้กลุ่มผู้หญิงที่ทอผ้าเกิดการขาดช่วงองค์ความรู้  ขาดแคลนต้นไม้ให้สีด้วย  มีความจำเป็นต้องไปสั่งซื้อไม้ให้สีจากพื้นที่อื่น เช่น ตำบลบัวเชด  พื้นที่ติดชายแดนไทย-กัมพูชา และ สั่งซื้อสีครั่งจากร้านค้าในตัวจังหวัดซึ่งมีราคาสูงมากและต่อไปจะส่งผลต่อราคาผ้าทอสีธรรมชาติด้วยหากไม่มีการฟื้นฟูองค์ความรู้และรักษาป่าไม้ในชุมชน บทเรียนและนวัตกรรม บทเรียน   ด้านผลกระทบต่อสุขภาพคนทอผ้า  ในการทำงานโครงการสร้างความมั่นคงในอาชีพ สุขภาพและสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต มูลนิธิขวัญชุมชน และ แกนนำนักวิจัยชาวบ้านตำบลจารพัตจำนวน 30 คน  ได้ร่วมกันทำสำรวจสภาพปัญหาและผลกระทบทางสุขภาพคนทอผ้า พบปัญหาความเสี่ยงทางสุขภาพและความไม่ปลอดภัยหากไม่มีการดูแลตนเอง เช่น  การใช้สารเคมีในกระบวนการเลี้ยงไหมและผลิตผ้าไหม , การนั่งทำงานในท่าทางเดิมเป็นเวลานานก่อให้เกิดความเจ็บป่วยทางร่างกาย การบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อและกระเพาะอาหาร  ปัญหาเรื่องแสงและความสั่นสะเทือน ความเครียดจากการทำงาน  เมื่อคนทอผ้าสำรวจทราบว่า  ตนเองและคนทอผ้าในชุมชนมีสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยมาจากการทำอาชีพทอผ้าที่ทำอยู่กันทุกวันส่งผลต่อสุขภาพหากไม่ดูแลตนเอง  การได้รับความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการทำงานและอาชีพส่งผลต่อการปรับพฤติกรรมดูแลสุขภาพคนทอผ้าในชุมชนและเป็นการทำงานเชิงรุก นวัตกรรม    การจัดทำบ่อบำบัดน้ำเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตผ้าไหม   โดยทีมช่างชุมชนในตำบลจารพัต  ที่ได้ร่วมศึกษาดูงานและปรับปรุงต้นแบบจากเดิมเป็นการแก้ไขปัญหาด้วยการขุดหลุมดินธรรมดา  ค่อยปรับมาเป็นบ่อกักขนาด 3 บ่อ และ พัฒนาปรับปรุงแบบตามต้นแบบของรศ.รัตนา มหาชัย ซึ่งมูลนิธิขวัญชุมชนได้จัดอบรมให้ความรู้เรื่องการจัดทำบ่อกักเก็บสารเคมีจากการย้อมเส้นไหมสีเคมีและสีธรรมชาติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558  ที่ผ่านมาและชาวบ้านจะมีการปรับปรุงแบบที่ถูกต้องต่อไป วิธีการย้อมผ้าของชาวบ้านก่อนเริ่มโครงการ ไม่มีการจัดการสิ่งแวดล้อม  คนทอผ้าไม่มีการใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ต้องสูดดมฟูมเคมีและสารเคมีจากสารฟอกไหมและสีเคมี  และไม่มีการจัดการปัญหาขยะพิษ หลังจากการทำงาน

pro44  pro41

ภายหลังจากการเข้าร่วมโครงการเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านความรู้อนาชีวอนามัย ปรับพฤติกรรมมีการป้องกันสุขภาพ  การปรับวิถีการผลิตโดยมีกลุ่มที่ทำบ่อกักสารเคมีในกระบวนการผลิต ภาพ: บ้านนางกำนิช ไชยพร  ม.12 ต.จารพัต     ภายหลังการอบรมจาก รศ.รัตนา มหาชัย  ภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ซึ่งได้ทำวิจัยพัฒนาต้นแบบและพิสูจน์การใช้งานของบ่อบำบัดว่ารับรองได้ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต  ชาวบ้านจำนวน 4  ครัวเรือนในตำบลจารพัตจะมีการระดมทุนมาปรับปรุงบ่อบำบัดสีเคมีและน้ำเหลือทิ้งในกระบวนการผลิตเพื่อเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมในครัวเรือนตามต้นแบบที่ถูกต้อง   นวัตกรรม : การปรับกระบวนการผลิตจากสีเคมีเป็นสีธรรมชาติ  ณ บ้านนางสมใจ จำปาทองหมู่ 7 บ้านไทร  และนางจันทร์สาด  หมู่ 17 บ้านจันทร์แสง  ตำบลจารพัต    นางสมใจ จำปาทองกับงานมัดหมี่สีธรรมชาติ  ได้สุขภาพที่ดีของตนเองกลับคืนและสร้างเศรษฐกิจให้กับหมู่บ้าน                      นางจันทร์สาด  เริ่มทอสีธรรมชาติและเทคนิคมัดหมี่เส้นยืน  ปรับใต้ถุนบ้านเป็นที่รวมกลุ่ม  ทำบ่อบำบัดน้ำทิ้งหลังย้อม และ เตาประหยัดพลังงานเอง   2.6 การดำเนินงานโครงการ
  • จากผลงานความสำเร็จในการแก้ปัญหาข้างต้น (ข้อ 5) ท่านได้นำแนวทาง เทคนิค วิธีการ หรือได้คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มาต่อยอดและขยายผลงาน  ในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง ?
ผลจากความสำเร็จในการดำเนินโครงการที่จะต่อยอด  และขยายผลงานในการแก้ไข ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน  คือ 
  1. การพัฒนาขยายผลงานกลุ่มย้อมสีธรรมชาติ และการฟื้นฟูภูมิปัญญาเดิม  ของผู้หญิงสามรุ่น คือ
รุ่นย่ายาย  รุ่นปัจจุบัน และ คนรุ่นใหม่ที่สนใจงานผ้าธรรมชาติ ระหว่างหมู่บ้าน  ตำบล และ คนรุ่นใหม่ที่เป็นนักออกแบบด้านภัสตราภรณ์  เพื่อเชื่อมโยงศักยภาพของคนแต่ละรุ่นให้มาร่วมกันพัฒนางานผ้าไหมและผ้าฝ้ายสีธรรมชาติ   การจัดกระบวนการเรียนรู้คนสามรุ่นนี้  จะเน้นเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงจากวิธีการย้อมไม้ให้สีอื่นๆ  พัฒนา และ ปรับประยุกต์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดรุ่นใหม่  ถ่ายทอดเทคนิค การย้อมสีจากครั่ง(สีแดง)  ไม้เข และ ไม้ประโหด (ให้สีเหลือง) ที่ได้คุณภาพที่สวยงามขึ้นโดยการเชื่อมต่อวิธีคิดของคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่   ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์งานสีธรรมชาติที่สอดคล้องกับตลาด GREEN ต่อยอดสู่การเป็นกิจการเพื่อสังคม
  1. เริ่มเชื่อมโยงงานสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และ การปลูกไม้ให้สีทดแทน  ในพื้นที่ป่าของชุมชน  ถนนสาธารณะ  ป่า
ครอบครัว  ขอบถนนในหมู่บ้าน   โดยทำการเพาะพันธ์และหาไม้ให้สีที่กำลังเป็นไม้หายากเช่นไม้ประดูไม้แดง  ต้นขี้เหล็ก  ต้นเพกา  ต้นคูน หรือไม้มงคลทั้งเก้า  ฟื้นฟูและเชื่อมโยงจากการทำงานอาชีพสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  อันรวมถึงการจัดการปัญหาน้ำเสียจากกระบวนการผลิตผ้าไหมในชุมชนด้วย
  1. การเชื่อมโยงสานพลังความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในตำบลให้ร่วมกันตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ปลุกสำนึกรัก
 
  • วิธีการและตัวชี้วัดการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน (ระบุ)
    • ติดตามผลโดยการลงตรวจนับจำนวนไม้ให้สีที่ปลูกในพื้นที่สาธารณะมีอัตรารอดจำนวนไม้น้อยกว่าร้อยละ50 – 80 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่รณรงค์ปลูกต้นไม้ในแต่ละปี
    • กลุ่มแม่บ้านที่ย้อมสีธรรมชาติ 3 กลุ่มจาก 3 หมู่บ้าน จำนวนไม่น้อยกว่า 20 – 30 คน มีความรู้ในการผลิตสีจากธรรมชาติ มีการทำระบบ Sumply – Chain ในกระบวนการผลิต  และ มีความตระหนักต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในฐานะของผู้ใช้ทรัพยากรที่ต้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติด้วย
คนทอผ้าย้อมสีธรรมชาติมีการจัดทำบันทึกการให้สีของต้นไม้เพื่อเป็นการบันทึกภูมิปัญญาของตนเองและส่งต่อให้กับลูกหลานที่มีความสนใจงานผ้าทอสีธรรมชาติ

Recent posts