ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

ศาลฎีกายกฟ้อง คดีพล.ต.ต.จักรทิพย์ เป็นโจทก์ฟ้องนายซูดีรือมัน ฐานแจ้งความเท็จ

ศาลฎีกายกฟ้อง คดีพล.ต.ต.จักรทิพย์ เป็นโจทก์ฟ้องนายซูดีรือมัน ฐานแจ้งความเท็จ

13 October 2015

1163

ศาลฎีกายกฟ้อง คดีพล.ต.ต.จักรทิพย์ เป็นโจทก์ฟ้องนายซูดีรือมัน ฐานแจ้งความเท็จ จากกรณี ดีเอสไอ และ ป.ป.ช. สอบสวนคดีที่ตำรวจซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดีปล้นปืนค่ายปิเหล็ง   ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้อง กรณี พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายซูดีรือมัน มาเละ จำเลย ต่อศาลอาญาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม เพื่อจะแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษอาญา  จากการที่จำเลยได้ให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)  คดีนี้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๗๒๐/๒๕๕๗ ซึ่งศาลอาญาได้อ่านเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๘ โดยศาลฎีกายกฟ้อง คดีพล.ต.ต.จักรทิพย์ เป็นโจทก์ฟ้องนายซูดีรือมัน ฐานแจ้งความเท็จ สืบเนื่องจากกรณีปล้นอาวุธปืนกองพันทหารพัฒนาที่ ๔  กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) อ.เจาะไอร้อง  จ.นราธิวาส เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗  ต่อมาผู้ต้องหาคดีปล้นอาวุธปืนดังกล่าวกว่า ๑๐ คน กล่าวหาว่าตำรวจชุดสอบสวนทำร้ายร่างกายด้วยการกระทำทรมานให้รับสารภาพ  ทางดีเอสไอ ทำการสอบสวนและสรุปสำนวนคดีว่ามีมูล แล้วส่งให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีต่อไป เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒  ระหว่าง ป.ป.ช. ดำเนินกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงอยู่นั้น พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา หนึ่งในจำนวนตำรวจชุดสอบสวนผู้ต้องหา ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายซูดีรือมัน มาเละ ผู้ต้องหาคนหนึ่งซึ่งได้เป็นพยานให้การต่อดีเอสไอ และ ป.ป.ช. กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ตำรวจชุดสอบสวนทรมานขณะสอบสวนอยู่ที่ สภ.ตันหยง   โดยโจทก์ยื่นฟ้องนายซูดีรือมัน ต่อศาลอาญา(ศาลชั้นต้น) คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.๒๑๖๑/๒๕๕๒ ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม เพื่อจะแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษอาญา  ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย   ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ.๓๑๔๐/๒๕๕๔    ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๓ ประกอบ ๑๗๔ วรรคสอง และ ๑๘๑ (๒)   ลงโทษจำคุกจำเลย ๒ ปี    จำเลยอุทธรณ์   ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือยกฟ้อง จำเลยไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง โดยศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖    โจทก์ฎีกา  เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๘  ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ กล่าวคือ ยกฟ้องโจทก์ จำเลยไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้องนั่นเอง สำหรับ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา โจทก์ในคดีนี้  ขณะร่วมสอบสวนผู้ต้องหาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ มียศเป็นพันตำรวจเอก  ต่อมาแม้จะถูกดีเอสไอ และ ป.ป.ช.  ตั้งข้อกล่าวหาและสอบสวนในคดีเจ้าพนักงานตำรวจชุดสอบสวนซ้อมทรมานผู้ต้องหาดังกล่าวก็ตาม แต่ไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ในการรับราชการ ทั้งยังได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากขึ้นโดยลำดับ  จนกระทั่งเป็นพลตำรวจเอก และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นายรัษฎา มนูรัษฎา   ทนายความ สภาทนายความ ๐๘๑-๔๓๙๔๙๓๘ หรือ  นายปรีดา นาคผิว  ทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม  ๐๘๙-๖๒๒๒๔๗๔ หมายเหตุ               มีรายงานสรุปคำพิพากษาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๗๒๐/๒๕๕๗ เป็นเอกสารแนบมาด้วยกันนี้       รายงานสรุปคำพิพากษาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๗๒๐/๒๕๕๗   ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อแรกว่า ที่โจทก์ขอคัดค้านองค์คณะผู้พิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๑(๑) (๒) (๓) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕, ๒๗  เนื่องจากนายสุนัย มโนมัยอุดม เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นคณะกรรมการคดีพิเศษและเป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษโดยตำแหน่ง คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติให้รับคดีกรณีการทำร้ายร่างกายนายมะกะตา ฮารง กับพวก (รวมจำเลย) ผู้ต้องหาคดีปล้นอาวุธปืนของกองพันทหารพัฒนาที่ ๔ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส เป็นคดีพิเศษ และมอบหมายให้พันเอกปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ และพันตรีวิรัช กุลละวณิชย์ พยานคดีนี้ เป็นพนักงานสอบสวน ร่วมรับผิดชอบการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวและร่วมสอบปากคำจำเลยนี้ เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานแล้วมีความเห็นว่าน่าเชื่อตามคำกล่าวหาว่าเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายจำเลยเพื่อให้การรับสารภาพ นายสุนัยได้เสนอสำนวนการสอบสวนพร้อมพยานหลักฐานไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อดำเนินคดีอาญาโจทก์กับพวก นายสุนัยเป็นผู้รู้เห็นพยานหลักฐานทั้งหมดในคดี จึงมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับคดี โจทก์ขอคัดค้านองค์คณะผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์และขอให้ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ เป็นการคัดค้านผู้พิพากษาตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การคัดค้านผู้พิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๑  (๑)ถ้าผู้พิพากษานั้นมีผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องอยู่ในคดีนั้น  (๒)ถ้าเป็นญาติเกี่ยวข้องกับคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง... (๓)ถ้าเป็นผู้ที่ได้ถูกอ้างเป็นพยานโดยที่ได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ หรือโดยเป็นผู้เชี่ยวชาญมีความรู้พิเศษเกี่ยวข้องกับคดีนั้น   เห็นได้ว่า คดีนี้มิได้เกี่ยวข้องกับนายสุนัย ทั้งนายสุนัยไม่มีผลประโยชน์ได้เสีย ไม่ได้เป็นญาติกับคู่ความและไม่ได้ถูกอ้างเป็นพยานในคดี ซึ่งไม่เข้าเหตุตามกฎหมายที่จะคัดค้านผู้พิพากษา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาต่อไปว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ได้ความตามทางพิจารณาว่า เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ จำเลยกับพวกถูกนำตัวออกจากห้องขังมาสอบสวนที่ห้องประชุมสถานีตำรวจภูธรตันหยง มีเจ้าพนักงานตำรวจอยู่หลายคน เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำร้ายร่างกายจำเลยให้รับสารภาพ ต่อมาวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ เจ้าพนักงานตำรวจนำจำเลยกับพวกไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ โดยมีเจ้าพนักงานตำรวจที่เดินทางมาจากกรุงเทพมหานครร่วมด้วย หลังจากนั้นจำเลยกับพวกถูกนำตัวมาควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร  นายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความ มาพบและสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น นายสมชายได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้แก่จำเลยกับพวกที่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกายบังคับให้รับสารภาพ ต่อมามีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษมาสอบปากคำจำเลยและนำภาพที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ เอกสารหมาย จ.๘ มาให้จำเลยดู และให้ระบุว่าเจ้าพนักงานตำรวจคนใดเป็นคนร้าย ที่โจทก์อ้างในฎีกาว่า เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ เวลากลางวัน โจทก์ไม่ได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายจำเลยบริเวณห้องประชุมสถานีตำรวจภูธรตันหยง เพราะในวันดังกล่าวโจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่จังหวัดอุดรธานี นครพนม และสกลนคร เพื่อดูแลความปลอดภัยในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ตามคำสั่งกองปราบปรามที่ ๑๖๕/๒๕๔๖ เอกสารหมาย จ.๒ ซึ่งโจทก์เดินทางโดยสายการบินไทยเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ ตามเอกสารหมาย จ.๓  และเดินทางกลับกรุงเทพมหานครวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗  มีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ โจทก์อยู่ในห้องประชุมสถานีตำรวจภูธรตันหยงหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้รับคำสั่งไปปฏิบัติหน้าที่ราชการจังหวัดอุดรธานี นครพนม และสกลนคร เพื่อดูแลความปลอดภัยในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรตามคำสั่งกองปราบปรามที่ ๑๖๕/๒๕๔๖ ตามเอกสารหมาย จ.๒ ปรากฏว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องมอบหมายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้รองผู้บังคับการกองปราบปรามปฏิบัติราชการ มิใช่คำสั่งให้โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่ประการใด  ส่วนตั๋วเครื่องบินเอกสารหมาย จ.๓ ก็ได้ความเพียงว่าโจทก์เดินทางไปในวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ เวลา ๑๘.๓๕ นาฬิกา ไม่ปรากฏหลักฐานการเดินทางกลับเมื่อใด แต่ปรากฏภาพโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๘ ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจนำจำเลยไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ โดยโจทก์เองก็เบิกความรับว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม ๒๕๔๗ ได้รับคำสั่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ไปปฏิบัติราชการที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เกี่ยวกับเรื่องที่มีการปล้นอาวุธปืนที่กองพันทหารพัฒนาที่ ๔ ค่ายปิเหล็ง  และตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า พยานร่วมสอบสวนผู้ต้องหาในคดีปล้นอาวุธปืนหลายครั้ง บางครั้งก็เคยออกไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยมีภาพข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ตามเอกสารหมาย จ.๘ ซึ่งมีจำเลยเป็นผู้ต้องหา จากพยานหลักฐานดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์อยู่ในห้องประชุมสถานีตำรวจภูธรตันหยงในวันเกิดเหตุ  ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การที่จำเลยให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษตามเอกสารหมาย ล.๕ เป็นความผิดหรือไม่  เห็นว่า จำเลยเป็นราษฎรอำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ แต่ไม่สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ การสื่อสารต้องผ่านล่าม ไม่เคยรู้จักกับโจทก์มาก่อน พยานโจทก์ก็รับว่าจำเลยไม่เคยกล่าวหาว่าโจทก์ทำร้ายร่างกายจำเลย ในการชี้ภาพถ่ายผู้ร่วมทำร้าย จำเลยไม่ได้ชี้ว่าโจทก์ร่วมทำร้ายร่างกายจำเลยตามเอกสารหมาย จ.๘  ทั้งพันตำรวจตรีธัชนพ ผดุงกาญจน์  พยานโจทก์ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานปราบปรามการทุจริตชำนาญการพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และได้รับแต่งตั้งเป็นคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านรับว่า จำเลยเคยให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่มาจากกรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้ร่วมทำร้ายร่างกายจำเลย นอกจากนั้นยังได้ความจากพันเอกปิยวัฒก์และพันตรีวิรัช พยานจำเลย เบิกความว่า จำเลยไม่เคยให้ถ้อยคำว่าโจทก์ร่วมทำร้ายร่างกายจำเลย การที่โจทก์ถูกกล่าวหาก็เนื่องจากการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และเป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักมั่นคงที่จะลงโทษจำเลยตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น  พิพากษายืน” มีข้อน่าสังเกตว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่นายซูดีรือมันได้เป็นพยานให้ถ้อยคำโดยสุจริตต่อดีเอสไอและป.ป.ช. เพราะถูกกระทำละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจากการที่เจ้าพนักงานตำรวจชุดสอบสวนทำร้ายร่างกายเพื่อบังคับให้รับสารภาพในความผิดที่ตนมิได้กระทำ (คดีที่นายซูดีรือมันตกเป็นผู้ต้องหาคดีปล้นอาวุธปืนฯ พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และคดีอื่นที่เกี่ยวข้องนายซูดีรือมันต่อสู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนจนพ้นข้อหาความผิด)  คดีดำเนินไปตามขั้นตอนของ ดีเอสไอ และ ป.ป.ช.   แต่ขณะคดีอยู่ระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช. นายซูดีรือมันกลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ ป.ป.ช. ตั้งข้อกล่าวหา อ้างเอาถ้อยคำที่นายซูดีรือมันได้ให้การต่อดีเอสไอและป.ป.ช. ซึ่งรวมอยู่ในสำนวนคดีของ ป.ป.ช. แล้ว ว่าเป็นการแจ้งความเท็จ นำไปฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งโดยปกติถ้อยคำที่ให้การดังกล่าวพึงเป็นความลับในสำนวนคดีของ ป.ป.ช. ที่ผู้เป็นพยานมาให้ถ้อยคำจะต้องได้รับความคุ้มครอง ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓  ป.ป.ช. ได้วินิจฉัยคดีซ้อมทรมานผู้ต้องหา ว่าคดีไม่มีมูล เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ  แต่ในคำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้ ศาลรับฟังได้ว่า มีการซ้อมทรมานผู้ต้องหาดังกล่าวจริงและขณะเกิดเหตุโจทก์เป็นตำรวจนายหนึ่งในชุดสอบสวนผู้ต้องหาและอยู่ในห้องประชุม สภ.ตันหยง ที่ใช้สอบสวนและทรมานผู้ต้องหาด้วย เพียงแต่นายซูดีรือมัน จำเลย ไม่เคยระบุว่าโจทก์เป็นผู้ร่วมซ้อมทรมานด้วยเท่านั้น ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นายรัษฎา มนูรัษฎา   ทนายความ สภาทนายความ ๐๘๑-๔๓๙๔๙๓๘ หรือ  นายปรีดา นาคผิว  ทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม  ๐๘๙-๖๒๒๒๔๗๔  

Recent posts