Advertisement

Banner 600x250 px

Advertise with us

ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

แถลงการณ์ ขอคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๙๐ ที่ห้ามและยกเลิกกฎหมายจัดเก็บและจัดสรรภาษีเพื่อ วัตถุประสงค์เฉพาะ(earmarked tax)

แถลงการณ์ ขอคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๙๐ ที่ห้ามและยกเลิกกฎหมายจัดเก็บและจัดสรรภาษีเพื่อ วัตถุประสงค์เฉพาะ(earmarked tax)

4 August 2015

1142

ตามที่ทราบ กันดี ถึงสถานการณ์ที่เสนอให้มีการแก้ไขร่าง รธน. ว่าด้วยเรื่องไม่ยอมให้มีการหักภาษี จัดเก็บและจัดสรรเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Earmarked tax) อีกต่อไป Earmarked Tax ออกมาเ ป็นกฎหมาย เพื่อใช้จัดสรรราย ได้ส่วนหนึ่งจาก การจัดเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมเพื่อนำไปใช้ กับโครงการหรือหน่วยงานบาง ประเภทเป็นการพิเศษที่เอื้อประโยชน์ต่อการ พัฒนาประเทศ (อ่านเพิ่มเติม: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/635211 หรือ เอกสารแนบ) ดังนั้นหากคุณเห็นถึงประโยชน์ของการมี Earmarked Tax ร่วมแสดงจุดยืนสนับสนุนให้มีการทบทวนร่างรัฐธรรมนูญ **ลง ชื่อร่วมขอคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่ห้ามและยกเลิกกฎหมายจัดเก็บและจัดสรรภาษี เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Earmarked Tax) เพียง ส่งชื่อ-นามสกุล ( ตาม excel : ตารางร่วมลงชื่อ ที่แนบ ) แล้ว Email ส่งกลับมาที่ earmarktax@gmail.com ทันที!! เพื่อยื่นราย ชื่อพร้อมกันภายในเช้าวันพุธที่ 5 สิงหาคม 2558 ขอบคุณในทุกความร่วมแรงร่วมใจ มา ณ โอกาสนี้     ๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘   เรื่อง      ขอคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๙๐ ที่ห้ามและยกเลิกกฎหมายจัดเก็บและจัดสรรภาษีเพื่อ        วัตถุประสงค์เฉพาะ(earmarked tax) เรียน     คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ   ตามที่ร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังพิจารณาในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในช่วงสุดท้ายก่อนสรุปส่งให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) พิจารณารับรอง และเปิดให้มีการลงประชามติต่อไปนั้น  ได้มีการเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่เคยเปิดเผยกับสาธารณะมาก่อน ในมาตรา 190 เกี่ยวกับการห้ามตรากฎหมายเพื่อจัดเก็บและจัดสรรภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (earmarked tax) ซึ่งเสนอเข้ามาจากรัฐบาลและมีบทเฉพาะกาลให้หน่วยงานที่มีกฎหมายอยู่แล้วให้ บังคับใช้ต่อไปอีกไม่เกินสี่ปี จึงเกิดมีการหารือของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องและเห็นพ้องที่จะคัดค้านมาตรา ๑๙๐ ในร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยมีเหตุผลในการคัดค้าน ดังนี้ ๑. การห้ามตรากฎหมายเพื่อจัดเก็บและจัดสรรภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (earmarked tax) นี้ เป็นประเด็นสาธารณะที่ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะมาก่อนเลย ในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้  รัฐบาลโดยรองนายกรัฐมนตรี มรว. ปรีดิยาธร เทวกุล เพิ่งจะส่งหนังสือลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ถึงประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเสนอปรับปรุงแก้ไข และประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้เห็นชอบนำเข้าที่ประชุมช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา  คณะกรรมาธิการฯได้เห็นชอบให้แก้ไขมาตรา ๑๙๐ วรรค ๔ ให้ห้ามตรากฎหมายเพื่อจัดเก็บและจัดสรรภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยมีบทเฉพาะกาลในมาตรา ๒๘๑ ให้หน่วยงานที่มีกฎหมายอยู่แล้ว ให้บังคับใช้ต่อไปอีกไม่เกินสี่ปี(แก้จากสามปีที่รัฐบาลเสนอ) และเตรียมจะสรุปเสนอร่างรัฐธรรมนูญต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติภายในวันที่ ๒๒ สิงหาคมนี้ โดยกระบวนการทั้งหมด สาธารณชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้รับทราบหรือมีส่วนให้ข้อมูลหรือความคิดเห็นเลยแม้แต่น้อย  ด้วยเป็นร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญประเด็นใหม่ที่เขียนเติมจากส่วนราชการตาม ลำพังอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้อยู่ในร่างที่เคยประชาพิจารณ์ในเวทีต่างๆ มาก่อน  นอกจากนั้นกระบวนการสื่อสารชี้แจงในการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัดและรวบรัด  จนทำให้กรรมาธิการหลายท่านเข้าใจผิดว่า ผลจากมาตรานี้แค่เพียงเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บเงิน ให้ไปจัดเก็บไว้ที่คลังก่อน แล้วจึงส่งมาให้หน่วยงานตามกฎหมายเดิมเท่านั้น ๒. ภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (earmarked or dedicated tax) เป็นวิธีการหรือเครื่องมือทางงบประมาณที่ประเทศต่างๆในโลกใช้ในการจัดสรร ภาษีหรือรายได้ในสัดส่วนจำกัด ไปยังภารกิจหรือเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง ในทางทฤษฎีและประสบการณ์ของประเทศต่างๆ เครื่องมือทางงบประมาณนี้สร้างทางเลือกที่เป็นประโยชน์มากมาย จากการลดข้อจำกัดของระบบงบประมาณปกติในเรื่องที่รัฐบาลเห็นว่าจำเป็น  แม้จะมีข้อพึงระวังของเครื่องมือที่รัฐบาลและรัฐสภาต้องดูแลให้มีการใช้ให้ พอเหมาะสมอยู่ตามปกติ  แต่การที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างถาวรว่า ประเทศไทยจะใช้เครื่องมืองบประมาณชนิดนี้ไม่ได้เลย  นับเป็นเรื่องที่ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสจากการจำกัดตัวเอง ให้อยู่แต่กับวิธีทางงบประมาณกระแสหลักดั้งเดิมเท่านั้น  และนับเป็นเรื่องล้าหลังเมื่อเทียบกับกระแสสากลของโลก ที่หลายประเทศอาทิ อังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา บราซิล ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน ฯลฯ ต่างก็ใช้ระบบภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในการพัฒนาประเทศ ๓. ในบริบทการออกกฎหมายภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะในประเทศไทยที่ผ่านมา  มีการใช้หลักกับ พรบ. กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), พรบ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) และ พรบ. การกีฬาแห่งประเทศไทย  ที่มีวงเงินจากภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุรา ที่เรียกเก็บเพิ่มจากภาษีที่เข้าคลังตามปกติ คิดรวมกันเพียงประมาณร้อยละ ๐.๓-๐.๔ ของงบประมาณแผ่นดินเท่านั้น การยกเลิกกฎหมายที่มีอยู่และห้ามไม่ให้มีอีกในอนาคต โดยไม่ระบุเหตุผล หรือจะให้เหตุผลเกี่ยวกับการไม่เพียงพอของงบประมาณปกติ ก็นับว่าไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง หรือหากอ้างเหตุผลเรื่องประสิทธิภาพประสิทธิผล (ซึ่งไม่มีข้อมูลใดใดระบุไว้ และมีกลไกตามกฎหมายประเมินอยู่แล้ว) ก็อาจดำเนินการได้ในระดับการบริหารของรัฐบาลหรือการออกกฎหมายของรัฐสภา  โดยไม่มีเหตุผลความจำเป็นต้องตราเป็นการห้ามออกกฎหมายแบบนี้ และยกเลิกกฎหมายที่มีอยู่เดิมทั้งหมดไว้ในรัฐธรรมนูญ ๔. แหล่งภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะที่ประเทศไทยเก็บอยู่คือการจัดเก็บเพิ่ม จากภาษีสรรพสามิตสุราและยาสูบเป็นหลัก (ไม่ได้แบ่งจากภาษีที่รัฐบาลยังคงเก็บเข้าคลังเต็มจำนวนอยู่แล้ว แต่เก็บเพิ่มเข้าหน่วยงาน)  ที่นอกจากมีผลให้เพิ่มกลไกราคาให้การบริโภคสินค้าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและ สังคมทั้งสองชนิดในประชาชนไทยลดลง (โดยเม็ดเงินภาษีที่รัฐบาลได้รับไม่ลดลง) แล้ว องค์กรอย่าง สสส. ยังใช้เงินดังกล่าวมาดำเนินงานต่างๆ เพื่อการควบคุมการบริโภคสุรา ยาสูบ และการสร้างเสริมสุขภาพอีกด้วย  การยกเลิกกลไกภาษีเฉพาะนี้ จึงเป็นมาตรการที่อุตสาหกรรมทั้งสองได้ประโยชน์เรียกร้องต่อภาคการเมืองมา ตลอด  เพราะภาษีเฉพาะที่จัดเก็บเพิ่มนี้ จะกลับไปบวกเป็นผลกำไรของธุรกิจยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วยังได้กำจัดองค์กรที่มาขัดขวางการทำกำไรของธุรกิจ อาจมีเพียงโรงงานยาสูบที่จะแบ่งกำไรบางส่วน ซึ่งเป็นส่วนน้อยมาก จากเงินส่วนนี้คืนรัฐบาลในฐานะรัฐวิสาหกิจ  แต่ธุรกิจเอกชนหรือธุรกิจต่างชาติจะได้เงินคืนกลับไปเต็มๆ และถ้าหากจะแก้กฎหมายใหม่กำหนดให้สามหน่วยงานต้องกลับไปของบประมาณแผ่นดิน ก็จะต้องไปขอแบ่งเอางบประมาณแผ่นดินที่จำกัดอยู่แล้วมาใช้แทนภาษีเพิ่มใน ส่วนนี้ งานควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพและการสร้างเสริมสุขภาพย่อมถดถอยลง  ซึ่งเป็นแนวโน้มในทำนองเดียวกับที่หลายประเทศที่หน่วยงานที่จัดตั้งโดยภาษี เฉพาะ ถูกแทรกแซงจากอุตสาหกรรมที่เสียประโยชน์ ต่อนโยบายทางการเมืองมาก่อน น่าเสียใจความหวังของอุตสาหกรรมที่เสียประโยชน์ กำลังจะประสบความสำเร็จในรัฐบาลนี้ และในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคณะนี้ ๕. ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  ได้ประกาศตัวในการร่างและประชาพิจารณ์ว่ายึดถือหลักการ “พลเมืองเป็นใหญ่” เป็นหนึ่งในหลักสำคัญ แต่มาตรานี้กลับมีแนวโน้มทำลายกลไกทางสังคม ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้พลเมืองไทย ทั้งด้านการสื่อสารสาธารณะ การพัฒนาสังคม สุขภาพและการกีฬา ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ไปจนถึงเครือข่ายระดับประเทศที่ทำงานร่วมกับรัฐบาล เกิดผลงานที่เป็นประโยชน์มากมาย  การจำกัดระบบงบประมาณให้ใช้ผ่านระบบราชการเป็นหลักเท่านั้น  ทำให้น่าจะเป็นอุปสรรคสำหรับอนาคตของประเทศไทย ที่มุ่งหวังว่าจะเกิดการปฏิรูปเชิงระบบจากทุกภาคส่วน แต่ทว่ากลไกสังคมที่จะสนับสนุนภาคพลเมืองกลับต้องอยู่ภายใต้การควบคุมเต็ม ที่จากรัฐบาลในอนาคตทั้งหมด  จึงเป็นการกระทำที่ไม่เพียงจะไม่สนับสนุนการทำให้ “พลเมืองเป็นใหญ่” ตามที่ประกาศไว้เท่านั้น แต่ร่างรัฐธรรมนูญนี้ยังเดินไปในทางตรงข้าม ด้วยการทำลายความเข้มแข็งของพลเมืองเท่าที่พอมีอยู่แล้วลงไปอีกด้วย ดังนั้น องค์กรทั้งหมดตามรายชื่อท้ายจดหมายนี้ จึงขอแสดงการคัดค้านเนื้อหาในมาตรา ๑๙๐ วรรคสี่ ด้วยเหตุผลที่ได้แสดงข้างต้น และขอให้ตัดวรรคดังกล่าวออกจากร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ด้วย   ขอแสดงความนับถือ รายนามหน่วยงานองค์กรสนับสนุน ---------------------------------------------------------------------------------------   จัดเก็บและจัดสรรเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ คือ

Recent posts