ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

สันติภาพชายแดนใต้ เกิดขึ้นได้ ด้วยความเข้าใจ

สันติภาพชายแดนใต้ เกิดขึ้นได้ ด้วยความเข้าใจ

25 June 2015

1335

พิศิษฐ์ วิริยสกุล สถาบันส่งเสริมการจัดการประโยชน์สังคม พลันที่รัฐบาลเริ่มมีการพูดคุยสันติภาพ (dialogue) กับฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ (BRN) เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา แทนที่เสียงปืนและเสียงระเบิดจะเบาลงแต่กลับมีให้ได้ยินติดตามมา ตามมาด้วยป้ายผ้าร้อยกว่าผืนขึงพรึ่บเต็มไปหมดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยข้อความเขียนด้วยภาษารูมี “สันติภาพจะไม่เกิดขึ้นหากเจ้าของพื้นที่ไม่ยอมรับ” เมื่อสมทบกับเหตุการณ์รายวัน จึงมีการคาดเดารวมกันไปว่าเป็นการ “ต่อต้านกระบวนการพูดคุย” ตามที่เป็นข่าวขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป แต่นักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า “ต้องการสะท้อนสิทธิของคนมลายูพื้นที่ที่ยังถูกจำกัดอยู่” การพูดคุยครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 นั้น เราก็ได้ยินเสียงสะท้อนแบบตรงไปตรงมาของฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ (BRN) ที่กล่าวถึงการยึดครองเมืองปัตตานีไป ขณะที่แต่ฝ่ายรัฐบาลไทยไม่ได้ตอบอะไรไป พร้อมกับระบายความทุกข์และความเจ็บปวดในอดีต และสาเหตุที่ต้องลุกขึ้นต่อสู้ พร้อมยกถึงเหตุการณ์ความไม่เป็นธรรมในอดีตหลายเหตุการณ์ไล่เรียงมา เช่น กรณีหะยีสุหลง (ผู้นำทางจิตวิญญาณ เคยเสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อต่อรัฐบาลไทย และเชื่อว่าถูกอุ้มฆ่าเมื่อปี 2497) เหตุสังหาร 6 ศพที่สะพานกอตอ เมื่อปี 2518 กระทั่งถึงเหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ ในปี 2547 ทั้งนี้ฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐไม่ได้เรียกร้องอะไรอย่างชัดเจน เพียงแต่ให้ฝ่ายรัฐไทยไปหาวิธีสร้างความเป็นธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการกระทำของขบวนการแบ่งแยกดินแดนเท่านั้น แต่ยังมีเหตุการณ์ที่รัฐทำเอง และกลุ่มอื่นทำเพื่อแก้แค้นด้วย ฉะนั้นพื้นฐานของการแก้ไขปัญหา รัฐต้องให้ความเป็นธรรมก่อน[1] ทุกวันนี้เราคงเห็นแต่ผลกระทบจากความรุนแรง หรือ อาการของโรคที่เกิดจากความไม่สงบในพื้นที่มามากแล้ว จึงอยากเชิญชวนกันมาร่วมวินิจฉัยสาเหตุของโรคกันบ้าง สิ่งแรกที่จะต้องทำ คือ เราต้อง Dialogue ความคิดตัวเองกันก่อน ด้วยการตั้งสติฟังกันให้มากขึ้น ฟังทั้งน้ำเสียงและหัวใจของคนอื่น ขณะนี้เรามีปมใหญ่ให้เราช่วยกันวินิจฉัย 3 ปมด้วยกัน คือ 1) ความทรงจำที่สูญเสียบ้างเมืองในอดีต 2) ความขมขื่นที่ศักดิ์ศรีตัวตนถูกลดทำลายไป และ 3) ความเสียดสีหมิ่นหยามจากสังคมใหญ่ ปมแรกความทรงจำที่สูญเสียบ้างเมืองในอดีต ฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ (BRN) กล่าวถึงรัฐบาลสยามตีเมืองปัตตานีเป็นเมืองขึ้น หมายถึงยกทัพมาตีและกระทำต่อเชลยมลายู เมื่อศึกษาข้อมูลหลายด้านทำให้รู้ถึงธรรมชาติของการทำสงครามในสมัยนั้น การล่าเมืองประเทศราช การกอบกู้เพื่อเอกราช และการเกิดกบฏ สามารถเกิดขึ้นได้กับหัวเมืองต่างๆในอดีต การที่รัฐสยามในอดีตยกทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช เมืองฝาง เมืองเวียงจันทน์ ฯลฯ เช่นเดียวกับที่พม่า และสุลต่าน มาดฟาร์ชาฮ์ แห่งปัตตานีเคยนำกองทัพเมืองปัตตานีเข้าไปตีกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น สงครามในอดีตการเผาเมือง การกวาดต้อนเชลยไปใช้เป็นทาสแรงงาน หรือรบกับข้าศึกของประเทศ จึงเป็นเงื่อนไขตามบริบทของสงครามสมัยนั้น สมัยผู้เขียนยังเป็นเด็กคุณตาทวด (จำได้ว่ามีรอยสักที่ข้อมือขึ้นทะเบียนแสดงสังกัดมูลนาย) ท่านเล่าถึงความลำบากของบรรพบุรุษในฐานะเชลยทาสปัตตานี ถูกบังคับให้ถางป่าเพื่อทำนาส่งผลผลิตข้าวให้กับนายที่ตนสังกัด จนมีเรื่องเล่ากันว่า “บางคนแอบย้ายหลักเขตที่ถูกบังคับให้ถางป่า โดยย่นหลักเขตให้ตัวเองมีพื้นที่ถางป่าน้อยลง ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 มีการเลิกทาส มูลนายซึ่งไม่เคยทำนาทำสวนมาก่อน และไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์ จึงยกที่นาให้อดีตทาสเหล่านั้น ผู้ที่ถูกเอาเปรียบกินแรงจึงได้รับที่ดินมากกว่า” ถึงวันนี้ลูกหลานเชลยปัตตานีเป็นเศรษฐีใหม่จากมรดกที่ดินที่บรรพบุรุษถากถางป่าด้วยความยากลำบากชนิดพลิกฝ่ามือ อดีตเศรษฐีใหม่บางคนปรับตัวไม่ทัน ใช้เงินไม่เป็น ได้กลับไปเศรษฐีตกยากในที่สุด บางคนต้องไปของานทำเป็นยามบ้าง เป็นคนขับรถให้กับเจ้าของที่ดินใหม่ที่ซื้อที่ดินไปจากตัวบ้าง แต่มุสลิมส่วนใหญ่ที่ดำเนินชีวิตตามครรลองของศาสนา รักษาทรัพย์สินที่ปู่ ย่า ตา ยาย ได้มาด้วยความยากลำบาก ไม่ยอมขายที่ดิน สร้างอาคารพานิช อพาตเม้นให้เช่า ส่งลูกเรียนสูงได้ดิบได้ดีไปก็นัก สำหรับคนมลายูมุสลิมที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งมีตัวตนทั้งด้านเชื้อชาติ ภาษา และศาสนาใกล้เคียงกับ คนมลายูในประเทศเพื่อนบ้านเป็นส่วนใหญ่ จึงมีสามัญสำนึก ที่ต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากการเป็นประเทศราชของเมืองสยามอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมีการจัดเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2440 โดยมีการส่งพนักงานสรรพากรลงไปเก็บภาษีอากร ส่งผู้พิพากษาไปตัดสินคดี โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของศาสนา ขนบธรรมเนียม และรักษาอำนาจของผู้นำศาสนาในท้องถิ่น ในคดีที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นอันขาด และต่อมาในปีพ.ศ. 2466 รัชกาลที่ 6 ทรงกำหนดพระบรมราโชบายสำหรับมณฑลปัตตานีไว้เป็นการเฉพาะ เช่น ข้อที่หนึ่ง “ระเบียบหรือข้อปฏิบัติที่เป็นการเบียดเบียน กดขี่ ศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิกแก้ไขเสียทันที การใดยิ่งทำให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสดามูฮัมหมัดได้ยิ่งดี” และอื่นๆ (ค้นหาเพิ่มเติม จากพระบรมราโชบาย ข้างต้น) ถือได้ว่าเป็นการสร้างความรู้สึกเชิงบวกให้กับคนมุสลิมทั้งในพื้นที่และทั่วประเทศ จึงพบว่าหลังจากนั้นไม่มีเหตุการณ์กบฏสำคัญๆ จวบจบสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ปมที่สองความขมขื่นที่ศักดิ์ศรีตัวตนถูกลดทำลายไป ประเด็นที่ฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ (BRN) หยิบยกขึ้นมาพูดถึงความทุกข์และความเจ็บปวดในอดีต และสาเหตุที่ต้องลุกขึ้นต่อสู้ พร้อมยกถึงเหตุการณ์ความไม่เป็นธรรมในอดีตหลายเหตุการณ์ไล่เรียงมา นับตั้งแต่กรณีหะยีสุหลง เป็นต้นมา หากมองบริบทแวดล้อมการเมืองการปกครองยุคปลายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ประเทศเพื่อนบ้านรอบประเทศสยามล้วนตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจตะวันตกด้วยเหตุข้ออ้างเป็นประเทศล้าหลัง ขาดความเจริญ ประเทศสยามจึงมีการปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่ มีถนนหนทาง มีการก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งแรก ได้จัดให้มีการสอนวิชาแพทย์แผนปัจจุบันขึ้น ฯลฯ เพื่อไม่ให้ประเทศมหาอำนาจใช้เป็นข้ออ้างและหาโอกาสยึดครองเป็นเมืองขึ้น เมื่อการเมืองเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปี พ.ศ.2475 คณะราษฏรซึ่งผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองส่วนใหญ่ล้วนแต่ได้รับการศึกษาตามแบบตะวันตก นอกจากจะนำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ประเทศแล้ว กระแสวัฒนธรรมตะวันตกยังได้แผ่คลุมประเทศสยามเวลานั้น เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก (พ.ศ.2481-2487) ประเทศไทยได้เกิดการสู้รบกับฝรั่งเศสในปัญหาดินแดนอินโดจีน ซึ่งไทยถูกบีบบังคับให้ยกให้ฝรั่งเศสไปในสมัยรัชกาลที่ 5 และไทยได้ขอคืนแต่ฝรั่งเศสเพิกเฉย จอมพล ป.จึงจำเป็นที่จะปลุกนโยบายชาตินิยมเร่งเร้าให้คนไทยเกิดความรักชาติอย่างรุนแรง โดยถือหลัก “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย” พร้อมกับมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ให้เป็นไปตามวัฒนธรรมตะวันตกทั้งหมด วิถีชีวิตของคนไทยในเมืองสมัยนั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเป็นครั้งแรก อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นคนชั้นกลางมากขึ้น เท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศมหาอำนาจอ้างเหตุเพื่อก่อสงคราม ถือได้ว่าท่านได้สร้างคุณประโยชน์ของประเทศไว้อย่างมากในสมัยนั้น แต่ชาตินิยมหัวก้าวหน้าแบบข้ามกระโดด ก็มีจุดเปราะบางที่ทำลายความรู้สึกของคนมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับความเชื่อทางศาสนา และมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เมื่อถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมใหม่ ที่ตรงข้ามกับวัฒนธรรมมลายูมุสลิมอย่างดั่งเดิม เช่น สั่งห้ามแต่งกายมุสลิม ห้ามใช้ภาษามลายู จำกัดวิถีชีวิตประจำวันตามศาสนาอิสลาม ล้มเลิกพระราโชบายที่รัชกาลที่ 6 ทรงเคยกำหนดไว้ ทำให้คนมลายูมุสลิมกังวลว่าอัตลักษณ์ตัวตนความเป็นมลายู และศาสนาอิสลามที่ตนเองนับถือจะสูญหายไป ดังนั้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง กลุ่มมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยในปัญหาความเดือดร้อนจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ นำไปสู่การเจรจาและต่อรองกับผู้แทนรัฐบาลไทย จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า คำร้องขอ 7 ข้อ โดยคำร้องขอดังกล่าว ผ่านการพูดคุยกันตามร้านน้ำชา สัมมนาระดมความคิด หาทางออกลดความกดดันทางสังคม รวบรวมเป็นมติที่ประชุม สำนักงานคณะกรรมการอิสลามปัตตานี (1 เมษายน พ.ศ.2490) ซึ่งมอบหมายให้ที่ฮัจญีสุหลง ซึ่งเป็นเพียงผู้เดียวที่มีความสัมพันธ์และติดต่อกับทางการสยามมากที่สุด เป็นผู้เสนอตามขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตย ไปยังรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น และต่อมาได้กลายมาเป็นหลักฐานเอกสารชิ้นสำคัญจากการตีความของรัฐบาลชุดต่อมาในการจับกุมคือฮัจญีสุหลง ในที่สุด คนมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงเกิดความรู้สึกถูกผลักเข้าไปสู่ “ภาวะความแปลกแยก” (Alienation) เป็นคนชายขอบจากสังคมใหญ่ตั้งแต่นั้นมา ซึ่งเป็นความแปลกแยกที่เกิดจากการทำให้แปลกแยก (making alien) การไม่ได้รับการยอมรับและความเหลื่อมล้ำ เมื่อถูทับถม หรือเก็บกดมากเข้า จึงเกิดความรู้สึกเกลียดชังและเป็นศัตรูกับส่วนต่างๆ และก่อให้เกิดเป็นแรงขับผลักดันให้มนุษย์แสวงหาการยอมรับจากสังคม (Social Needs) ด้วยวิธีการต่างๆนาๆ รวมไปถึงการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ (BRN) ก่อตั้งยุคแรก ในปี พ.ศ. 2503 ซึ่งกว่าที่จะมีการก่อตัวกันได้ย่อมมีเหตุการณ์ต่างๆ สะสมมาก่อนหน้านั้น เราจึงควรศึกษาบทเรียนในอดีตอย่างจริงจังให้ลึกลงไปในรายละเอียด โดยเฉพาะอารมณ์และความรู้สึกของเพื่อนร่วมชาติมากกว่าที่ผ่านมา หวังว่าการพูดคุยสันติภาพจะช่วยสะกิดเตือนกันและกันให้หาทางลดเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จนเป็นเหตุให้เกิดภาวะความแปลกแยกเกาะกินจิตใจฝังลึกอีกต่อไป ปมที่สาม ความเสียดสีหมิ่นหยามที่ได้รับจากสังคมใหญ่ มีวลีอยู่สองคำ คือ ก่อความไม่สงบ กับ ไม่ได้รับความยุติธรรม เป็นชนวนให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ด้วยเหตุที่มีความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนมานับศตวรรษ ทำให้เกิดการเก็บกดความรู้สึกร้ายกับฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่องในหมู่ประชาชน เพิ่มความชิงชังต่อกัน เพิ่มสมัครพรรคพวกและกองเชียร์แต่ละฝ่ายกันมากขึ้น และแสดงออกเมื่อมีโอกาส เคยมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่หมู่บ้านบือนังกือเปาะ หมู่ที่ 5 ตำบลตันหยงมัส อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ก่อนหน้านั้นมีข่าวลือ เรื่องคนน้ำมัน หรือโจรนินจา แอบเข้าไปบ้านชาวบ้านยามวิกาล ทั้งในหมู่บ้านนั้น และหมู่บ้านใกล้เคียง เมื่อชาวบ้านรู้ตัวและจับตัวได้ก็ลื่นหลุดมือหนีไปได้ จนเช้าตรู่ วันที่ 26 เมษายน 2546 ตชด.จากค่ายนเรศวรที่ไปประจำฐานปฏิบัติการละแวกนั้น 2 นาย ถูกจับโดยชาวบ้าน และต้อง เสียชีวิตอย่างอเนจอนาถทั้ง 2 นาย จากการถูกประชาทัณฑ์ของชาวบ้าน หรือเหตุการณ์ทหารพรานลาพักกลับบ้าน เกิดความเครียดกราดยิงนักศึกษาพยาบาลที่พูดคุยกันด้วยภาษามลายูเสียชีวิตไปหลายศพ ทั้งสองเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้เกิดจากการสะสมความโกรธแค้นชิงชังไว้ในจิตใต้สำนึกมากขึ้น เมื่อมีเหตุการณ์ใดกระตุ้นขึ้นมาก็จะแสดงออกตอบกลับทันที หรือเหตุการณ์เล็กๆ เกิดบนรถไฟ เมื่อเร็วนี้ ผู้เขียนมีความจำเป็นที่จะต้องส่งลูกชาย 2 คนไปเข้าค่ายฤดูร้อนที่กรุงเทพฯ เป็นช่วงใกล้วันสงกรานต์ ได้ตั๋วชั้นสองนั่ง ในโบกี้เดียวกันมีครอบครัวมุสลิมประกอบด้วยสามี ภรรยา ลูกสาวอายุประมาณ5-6 ขวบ และหลาน(ลูกของลูกสาว) อายุประมาณ 2 ขวบ มีที่นั่งใกล้กับที่นั่งของผู้เขียน เราไม่รู้จักกันมาก่อนจึงไม่ได้คุยอะไรมากนักตลอดเวลาเกือบ 20 ชั่วโมงบนรถไฟ ช่วงเช้าวันใหม่มีชายแปลกหน้าวัยกลางคนท่าทางเมาเล็กน้อย เดินมาจากโบกี้อื่น เมื่อเดินมาถึงตรงที่ครอบครัวนี้นั่งอยู่ ก็หยุดพูดคุยกับครอบครัวดังกล่าวด้วยท่าทีไม่สู้จะมีไมตรีนัก ทำให้ฝ่ายภรรยาต้องอุ้มหลานที่กำลังหลับหนีไปยืนข้างๆ ในขณะที่ผู้เป็นสามีต้องสงบอารมณ์ฟังคนขี้เมาเทศนา จนกระทั่งมีการพูด “อัลลาอฺ” (ออกเสียงไม่ชัด) สอนไว้อย่างไร...ผู้เขียนเห็นว่าจะเลยเถิดไปกันใหญ่ จึงบอกให้กลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเองได้แล้ว ชายผู้นั้นโกรธและหันกลับมาคุยโอ่อ้างว่าเป็นทหาร ผู้เขียนคิดว่าน่าจะแอบอ้างใช้บารมีข่มและเห็นว่าเมาจึงไม่อยากซักไซ้ต่อ แต่ได้ตัดบทว่าเด็กกำลังหลับและชี้ให้ดู แม้จะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นโดยที่ครอบครัวนั้นไม่อยู่ในฐานะต่อกรอะไรได้ แต่ชายขี้เมาก็ได้ประทับความไม่พอใจหรือเกลียดชังลงไปสะสมในจิตใต้สำนึกของครอบครัวนี้แล้ว และเมื่อเขากลับภูมิลำเนาเดิม เหตุการณ์เหล่านี้จะถูกถ่ายทอดไปสู่ญาติมิตรแบบปากต่อปาก ขยายความต่อไปรวมกับอีกหลายๆเรื่องที่แต่ละคนสะสมกันมาต่อไป เช่นเดียวกับคนเมาบนรถไฟที่จิตใต้สำนึกเขาสะสมทัศนคติเชิงลบกับมุสลิมมาก่อนอย่างไร เขาก็จะระบายออกมาอย่างไม่รั้งสติอย่างนั้น เมื่อต่างฝ่ายต่างสะสมภาพเชิงลบต่อกันลงไปในจิตใต้สำนึก จึงเสมือนเป็นการเร่งรอยปริแยกในสังคมให้ขยายเป็นรอยแตกแยกที่ใหญ่โตขึ้นไม่รู้จบ คงไม่แปลกใจที่ 9 ปีที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ แทนที่แนวร่วมของฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ (BRN) จะลดลงแต่ตรงกันข้ามกลับเพิ่มมากขึ้น ด้วยสิ่งที่พวกขาสัมผัสและที่เขาพบเห็น เช่นเดียวกับฝ่ายรัฐบาลก็มีผู้สนับสนุนทั่วประเทศโดยชอบธรรม ทั้งจากการที่ลูกหลานของเขาต้องมาเสียชีวิตและบาดเจ็บต่างบ้านต่างเมืองที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือจากข่าวสารทั่วไป ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับจะถูกสะสมเข้าไปในจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) ของแต่คนและพร้อมที่จะแสดงออกทันทีที่มีโอกาสโดยไม่ต้องผ่านการควบคุมของเหตุผล ความรุนแรงที่เกิดขึ้นและขยายตัวได้ทั่วไปจึงหนีไม่พ้นไปจากภาวะเช่นนี้ ทั้งสามปมที่ชวนวินิจฉัยนี้มีความสัมพันธ์ต่อกันประหนึ่งปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ระเบิดอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้ คนที่อยู่ในรัศมีระเบิดย่อมได้รับอันตรายฉันใด คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ว่าจะเป็นคนมลายูมุสลิมหรือคนไทยพุทธย่อมได้รับความทุกข์โศกทั่วหน้ากันทุกคนฉันนั้น การพูดคุยสันติภาพจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่จะนำไปสู่การเจรจาหาข้อยุติความรุนแรงในโอกาสต่อไป ซึ่งโดยธรรมชาติของการพูดคุยลักษณะนี้ ทั้งสองฝ่ายต้องยอมที่จะเสียไปในบางส่วน เพื่อให้ได้มาในส่วนที่ต้องการ กล่าวคือ ฝ่ายรัฐบาลไทยต้องยอมเสียบางอย่างเพื่อให้ได้มาถึงความสงบสุขภายในประเทศ เช่นเดียวกับฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ (BRN) ก็ต้องยอมเสียบางอย่างเพื่อให้ได้มาถึงสิทธิและความชอบธรรมที่ต้องการ ส่วนฝ่ายใดจะเสียอะไร จะได้อะไร คงต้องไปว่ากันบนโต๊ะเจรจา เมื่อผ่านความเชื่อมั่นจากการพูดคุยกันแล้ว อีกสองปีข้างหน้าก็จะเปิดพื้นที่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 การแบ่งพื้นที่เขตแดนของแต่ละประเทศแทบจะไม่มีความหมาย คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจจะได้เปรียบกว่าภูมิภาคอื่นๆในแง่ที่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงส่วนใหญ่มีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายกัน ทำให้ชาวบ้านกันเองมีปฏิสัมพันธ์ข้ามประเทศง่ายขึ้น การเปิดเสรีทางการค้าทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่เติบโตได้ตามกลไกตลาด แต่สิ่งที่ตามมาคือความล่มสลายทางสังคม ปัญหายาเสพติด ปัญหาชู้สาวที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบ ปัญหาการตัดแยกความสัมพันธ์ทางเครือญาติและสังคม และอื่นๆ กำลังเป็นความ “ท้าทาย” ของคนในพื้นที่ เราจะตั้งรับสถานการณ์ดังกล่าวที่จะรุนแรงมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไร สงครามความรู้สึกสงบไม่ได้ด้วยอาวุธ แม้นคาบเลือด คาบน้ำตา งบประมาณ และชีวิตคนที่สูญเสียไปจะมีค่ารวมแล้วมหาศาล แต่ก็ยังไม่เลวร้ายไปกว่าความหายนะทางสังคม และกำลังทำลายล้างความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาของแต่ละคน ทุกวันนี้อาชญากรเด็กมีสถิติจำนวนมากขึ้น และอายุน้อยลงระดับนักเรียนประถมก็มีมานัก “เรามาจับมือกันสร้างสังคมดีๆ ให้ลูกหลานเราเติบโตจะดีไหม...” บทความที่เกี่ยวข้อง :- เมื่อสงครามความรู้สึกยิ่งลุกลาม ไฟใต้จะดับอย่างไรหากรัฐยังใช้วิธีการเดิม โต๊ะข่าวภาคใต้ ศูนย์ข่าวอิศรา 27 กรกฎาคม 2009

Recent posts