สถานการณ์ นักโทษทางการเมืองไทยหลังรัฐประหาร ตุลา 19 – ตุลา 57 สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
19 November 2014
1456
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน Thai Lawyers for Human Rights
เผยแพร่ 12 พฤศจิกายน 2557
สถานการณ์ นักโทษทางการเมืองไทยหลังรัฐประหาร
ตุลา 19 – ตุลา 57 สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง
หากจะกล่าวถึง นักโทษทางการเมือง ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่แปลกใหม่ในสังคมไทยนักนับจาก
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีการจับกุมนักศึกษาประชาชนโดยอาศัยเหตุทางการเมืองในข้อหา “ภัยต่อ
สังคม” สูงถึง 8,000 คน1 ซึ่งยังไม่รวมถึงการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์”
ภายหลังจากเข้าป่า จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการจับกุมผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายผู้มีอำนาจ
ปกครองของประเทศกล่าวว่าเป็น “ผู้ที่ทำให้บ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย” จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมตัว ตาม
กฎอัยการศึก2“
หากนับเฉพาะปัจจุบัน (28 ตุลาคม 2557) นับแต่การยึดอำนาจการปกครองประเทศ โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และประกาศกฎอัยการศึก ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้ มีการควบคุมตัวบุคคลโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา และมีการจับกุมประชาชนโดยเหตุจากปัจจัยทางการเมือง เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังปรากฏ ตามข้อมูลดังต่อไปนี้
( จำนวนประชาชนที่ถูกจับและควบคุมตัว ภายหลังรัฐประหาร )
จำนวนประชาชนที่ถูกจับและควบคุมตัว 291 คน
จำนวนประชาชนที่ถูกควบคุมตัวโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา และปล่อยตัวแล้ว 229 คน
จำนวนคดีที่ขึ้นสู่ศาลทหาร 69 คดี
จำนวนคดีที่ขึ้นสู่ศาลพลเรือน 33 คดี
จำนวนนักโทษที่ถูกดำเนินคดีด้วยเหตุทางการเมือง 102 คน
โดยนักโทษและผู้ต้องคดีทางการเมืองจำนวน 102คน ถูกดำเนินคดีในข้อหาดังต่อไปนี้
|
ข้อ ห า ดูห มิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอ า ฆ า ต ม า ด ร้า ยพระมหากษัตริย์ (112 |
ข้อหาครอบครองอาวุธสงคราม
|
ข้อหาชุมนุมเกินกว่า 5 คน
|
ข้อหาไม่ไปรายงานตัว
|
ถูก ค ว บ คุม ตัว ใ นเรือนจำ
|
11 คน
|
43 คน |
- |
- |
ยกคำร้องขอฝากขัง |
1 คน
|
- |
1 คน |
1คน |
ได้รับการประกันตัว |
2 คน |
6 คน |
5 คน |
6 คน |
พิพากษาจำคุกโดยรอลงอาญา |
1 คน
|
- |
17 คน |
4 คน |
พิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญา |
3 คน
|
- |
- |
- |
รวม |
18 คน |
49 คน
|
23 คน |
11 คน |
นัก โทษการเมืองไทย สถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงการดำเนินคดีกับนักโทษทางการเมือง ภายใต้กฎอัยการศึก ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับ การดำเนินคดีในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 มีความเหมือนหรือคล้ายกับเหตุการณ์ในปัจจุบันหลายประการ ประกอบด้วย
- สถานการณ์ การใช้มาตรา 112 เล่นละครเป็นความผิด– หนึ่งในชนวนเหตุทางการเมือง ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคือการแสดงละครที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 4 ตุลาคม 2519 เพื่อสื่อถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมประชาชนที่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่กลับถูกนำไปสู่การดำเนินคดีหมิ่นประมาทองค์รัชทายาท (ม.112) 37 ปีผ่านไป13 ตุลาคม 2557 กลุ่ม นักกิจกรรมทางสังคม ได้จัดแสดงละครเพื่อสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยที่มหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์ ก็ถูกนำไปขยายผลสู่การดำเนินคดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ (ม.112) ขังฟรี ความเหมือนที่แตกต่าง– ในคดี 6 ตุลา พนักงานสอบสวนมีอำนาจฝากขังจำเลยได้คราวละ 30 วัน รวมกันไม่เกิน 180 วัน โดยเจ้าหน้าที่รัฐมักอ้างว่า “ยังตรวจสำนวนไม่แล้วเสร็จ” เพื่อขยายระยะเวลา การฝากขังไปเรื่อยๆเมื่อเทียบกับปัจจุบัน พนักงานสอบสวนมีอำนาจฝากขังได้ครั้งละ 12 วัน ไม่เกิน 7 ครั้ง รวม 84 วันและเกือบทุกคดี เจ้าหน้าที่จะขออนุญาตฝากขังจนครบ 84 วันโดยอ้างเหตุ “การ สอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องมีการสอบพยานเพิ่มเติม ตรวจประวัติอาชญากรรมของผู้ต้องหา หรือเสนอเรื่องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่ง”เพื่อขอ อนุญาตศาลฝากขัง และศาลมักจะอนุญาต ส่วนการประกันตัว ผู้ต้องหาแทบไม่มีโอกาสในการได้รับการประกันตัว ทั้งที่ผู้ต้องหาทั้งหมด ยังต้องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ มีสิทธิเสรีภาพที่จะสามารถต่อสู้คดีได้อย่างเป็นธรรม
ปรากฏการณ์ 112 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง– แม้ไม่ปรากฏ ปริมาณการใช้มาตรา 112 ในเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่ภายหลังการรัฐประหาร 2557 เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการเร่งรัดการพิจารณาคดี ตามมาตรา 112 ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เห็นได้จาก เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะลดจำนวนคดี 112 ที่อยู่กับตำรวจตั้งแต่ปี 2551ลง 50% ภายในสิ้นปี3 ซึ่งเมื่อพิจารณาเทียบกับคดีที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนติดตาม พบว่าจาก 18คดี มีเพียง 2 คดี ที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังรัฐประหารเท่ากับเป็นการเร่งรัดการ ดำเนินคดีที่เคยค้างอยู่ในชั้นต่างๆ เป็นจำนวนมากภายหลังการรัฐประหาร
- สถานที่คุมขัง สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรือนจำนักโทษทางการเมือง– เมื่อ 6 ตุลา 19 เจ้าหน้าที่ได้ใช้เรือนจำตำรวจบางเขน (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เรือนจำหลักสี่) เพื่อคุมขังนักโทษทางการเมือง เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “การกระทำความผิดอันเป็นคอมมิวนิสต์” และ “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”ซึ่งก่อนจะมีการรัฐประหาร 2557 รัฐบาลได้ประกาศให้ใช้
เรือนจำชั่วคราวหลักสี่อีกครั้งในการคุมขังนักโทษทางการเมือง ในคดีที่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองในปี 2534
แต่เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ภาย หลังการควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์ได้ทำการย้ายนักโทษทางการเมืองที่มีอยู่เดิม ไปสู่เรือนจำปกติ อันเป็นการปิดฉากการใช้สถานที่คุมขังเพื่อนักโทษทางการเมืองทำให้นักโทษคดี ทางการเมืองภายหลังรัฐประหาร ถูกคุมขังรวมกับนักโทษในคดีอื่นๆ โดยส่วนใหญ่อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ในแดน 1 แต่ต่อมาเมื่อช่วงเดือนกันยายน ทางเรือนจำได้จำแนกนักโทษทางการเมืองไปยังแดนต่างๆ กัน ซึ่งเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ลงนามในคำสั่งคำสั่งกระทรวงยุติธรรม ที่ 402/2557 ยุบ เลิกเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติจำเป็นต้องใช้พื้นที่ เป็นที่ทำการของตำรวจ และกรมราชทัณฑ์หมดความจำเป็นที่จะต้องใช้เรือนจำแล้ว จึงให้ยกเลิก จึงเป็นการสิ้นสุดสถานที่คุมขังสำหรับนักโทษทางการเมือง ในยุครัฐประหาร 2557 อย่างลงถาวร
สิทธิในการเยี่ยมที่ถูกจำกัด– ช่วงเดือนกันยายน กรมราชทัณฑ์ยังได้นำระเบียบการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังมาใช้บังคับ6 โดยให้ผู้ที่มีสิทธิเยี่ยมมีเพียงญาติหรือคนใกล้ชิด 10 คนที่ผู้ต้องหาแจ้งชื่อเท่านั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงต้องแจ้งล่วงหน้า 30 วัน และในเรือนจำต่างจังหวัดเรือนจำหนึ่ง ได้กำหนดให้ญาติต้องทำบัตรประจำตัวผู้เข้าเยี่ยม ให้เข้าเยี่ยมได้เพียงอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
- ศาลทหาร ยังคงมีอยู่การใช้ศาลทหารยังเหมือนเดิม– ทั้งในเหตุการณ์ 6 ตุลา และปัจจุบัน การใช้ศาลทหารดำเนินคดีกับพลเรือน -สถานการณ์ยังคงเป็นเช่นเดิมโดยใช้เหตุว่า “เพื่อความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ”ทำให้คดีเกี่ยวกับความมั่นคงทั้งหมด ถูกพิจารณาโดยศาลทหารซึ่งตัดสินเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในศาลชั้นเดียว
แม้ ฝ่ายทหารจะแจ้งว่า การพิจารณาคดีในศาลทหารเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนและหลักยุติธรรม แต่ทั้งนี้ ตามระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร บัญญัติในมาตรา 36 และมาตรา 61 กำหนด ว่าศาลทหารในเวลาไม่ปกติ เช่น อยู่ระหว่างการประกาศกฎอัยการศึก ห้ามมิให้อุทธรณ์ ฎีกาทำให้บรรดาผู้ต้องหาในคดีทางการเมืองดังกล่าว ถูกพิจารณาและตัดสินโดยศาลชั้นเดียวกรณีการใช้ศาลทหารดังกล่าว ล้วนแต่เป็นการจำกัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องมี สิทธิในการได้รับการพิจารณา ทบทวนคำพิพากษาโดยศาลที่สูงกว่า การประกาศเขตอำนาจศาลทหารในปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ศาลทหารเป็นเครื่องมือในทางการเมืองมาหลายยุคสมัย ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อสิทธิการได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมของจำเลย ในคดีทางการเมืองของไทย
- ภาพรวม นักโทษทางการเมืองภายหลังรัฐประหารการติดตามจับกุมดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง– เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2557 เจ้าหน้าที่ทหารได้ติดตามจับกุมประชาชน ในข้อหาฝ่าฝืนประกาศห้ามชุมนุม ภายหลังการชุมนุมถึง 5 เดือน นับว่าเป็นความเอาจริงเอาจังในการจับกุมประชาชนที่ฝ่ายทหารคิดว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคง”การสอบสวน– การสอบสวนภายใต้กฎอัยการศึกยังคงเป็นปัญหาต่อสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการให้อำนาจควบคุมตัวโดยไม่มีหมายจับได้ 7 วัน การไม่เปิดเผยสถานที่คุมขัง การปฏิเสธสิทธิในการมีทนายความ การไม่ให้ญาติเข้าเยี่ยม ซึ่งย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงต่อคำกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อประชาชนโดยมิ ชอบได้ผลกระทบต่อผู้ต้องหาและครอบครัว
จาก การที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเข้าพูดคุยกับญาติของผู้ต้องหาพบว่า การถูกดำเนินคดีส่งผลกระทบต่อชีวิตและครอบครัวในหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาที่ญาติหรือบุคคลใกล้ชิดของผู้ต้องหาถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่ ทหารนอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านค่าใช้จ่ายที่ญาติของผู้ต้องหาต้องเดินทางจาก ต่างจังหวัดมาที่กรุงเทพ เพื่อเยี่ยมหรือทำเรื่องขอประกันตัว ครอบครัวขาดรายได้หลัก รวมถึงปัญหาด้านการเตรียมหลักทรัพย์ขอประกันตัว ซึ่งบางรายจำเป็นต้องกู้ยืมมา นอกจากนี้ ยังมีปัญหาด้านการทำงานที่ผู้ต้องหาหรือญาติถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะขาดงาน
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
สถานการณ์ทางการเมืองภายหลังการรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 และรัฐประหาร 22 พฤษภาคม2557มีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง แม้เวลาจะล่วงผ่านมากว่า 30 ปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจับกุม ควบคุมตัวบุคคลที่มีแรงจูงใจทางการเมือง โดยอ้างว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ” การ ใช้ศาลทหารเพื่อดำเนินคดีกับพลเรือน การละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน ทั้งการไม่ให้สิทธิในการอุทธรณ์ ฎีกา การไม่อนุญาตให้ประกันตัว การยกเว้นสิทธิของประชาชนโดยอาศัยกฎอัยการศึก ซึ่งในเหตุการณ์ 6 ตุลา สุดท้ายแล้วก็มีการนิรโทษกรรมจำเลยทุกคน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การดำเนินคดีทางการเมืองเป็นการใช้ข้อกล่าวหาทางอาญาในการคุกคามข่มขู่ผู้ ที่มีความคิดเห็นแตกต่างในสังคม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้งกระบวนยุติธรรม และสุดท้ายแล้วไม่เพียงไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางความคิดในสังคมได้ ยังทำให้ความขัดแย้งมีแนวโน้มจะบานปลายกลายเป็นความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วย
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จึงขอเสนอแนะต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
- ยุติการดำเนินคดีและนิรโทษกรรม ในคดีที่เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
- ให้สิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ในคดีอาญาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
- แยกสถานที่ควบคุมตัวระหว่างนักโทษทางการเมืองและนักโทษในคดีทั่วไป__