ThaiNGO team support only thaingo.org and thaingo.in.th.

เว็บไซต์ที่ทีมงาน thaingo ดูแลคือ thaingo.org และ thaingo.in.th เท่านั้น

Back

การอยู่กับความตาย ชีวิตจริงคนริมเหมืองของตระกูล “ธีระชาติดำรง”

การอยู่กับความตาย ชีวิตจริงคนริมเหมืองของตระกูล “ธีระชาติดำรง”

20 April 2014

1219

โดนคุกคามอย่างรุนแรงมาตลอดระยะเวลากว่า 13 ปี สำหรับชีวิตของคนในครอบครัว   “ธี ระชาติดำรง” ที่เผอิญไปมีเขตแดนรั้วบ้านอยู่ติดกับพื้นที่ทางธุรกิจของเหมืองทองรายใหญ่ ประจำจังหวัดพิจิตรทำให้ต้องพลอยแบกรับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อไปแบบเต็ม ๆ ครั้นจะหนีย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ไม่ได้ เพราะที่นี่คือแผ่นดินเกิดที่พวกเขาอยู่อาศัยกันมานับแต่หลายชั่วคน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องยาวนานกว่าวันที่นายทุนใหญ่เข้ามาสำรวจพื้นที่นี้แน่นอน กลาย เป็นประเด็นร้อนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และผู้สื่อข่าวที่เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของชาวบ้านตาดำๆในพื้นที่ ที่ดูยังไงก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะไปเอาชนะกลุ่มนายทุนผู้มีอิทธิพล (โคตร) สูงตรงนั้นได้อย่างไร และคงเป็นเพราะเหตุผลเดียวกันนี้ ที่ทำให้ชาวบ้านจากร้อยกว่าครัวเรือนใน ม.เขาหม้อ ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ค่อยๆทยอยขายที่อยู่ที่กินของตนออกไปจนบางตาหลังจากโดนกว้านซื้อพื้นที่ บ้างก็เห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้ลืมตาอ้าปากกับเขาซะที บ้างก็ยอมจำนนต่อผลกระทบรายวันไม่ไหวจนต้องหนีหายออกไป ทั้งฝุ่นควันฟุ้งกระจายจากการระเบิดหิน ต่อเนื่อง ทั้งสารหนู สารปรอท และไซยาไนด์ที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำจนใช้ดื่มกินไม่ได้ ซ้ำร้ายบางคนต้องป่วยด้วยโรคผิวหนัง และโรคทางเดินหายใจเป็นของแถมจนวันนี้แทบจะเหลืออาณาเขตที่ยังเรียกว่า “บ้าน” ได้อย่างเต็มปากเพียงสองเครือเรือนเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือบ้านของ “คุณสิริวรรณ ธีระชาติดำรง” หนึ่งในสมาชิกที่เหลืออยู่ในตระกูล และเป็นพี่สาวแท้ๆของคุณสุกัญญา ธีระชาติดำรง หญิงนักสู้ที่คนจำนวนไม่น้อยในช่วง 4-5 ปีให้หลังต้องได้รู้จัก เป็น อีกหนึ่งเสียงที่ช่วยยืนยันจากคุณสิริวรรณ นับตั้งแต่วันที่ธุรกิจเหมืองทองอัคราไมนิ่ง ได้วางหลักปักฐานแน่นอนแล้วว่าจะดำเนินกิจการโดยรอบบริเวณบ้านของเธอ ยังไม่นับรวมถึงการเตรียมวางแผนจะสำรวจแร่ใต้พื้นดินต่อไปในอนาคตอันใกล้ เพื่อเตรียมขยายพื้นที่ธุรกิจให้ครอบคลุมทั้งเขตพิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ที่อยู่ในบริเวณรอยต่อร่วมกัน หากการขอประทานบัตรจากรัฐมีผลสำเร็จ

“ก็เป็น 10 ปี ละที่เขามาสำรวจแร่ว่ามันคุ้มต่อการที่เขาจะมาลงทุนไหม พอเขามาสำรวจ รู้ว่ามันได้แน่นอนละ มันก็จะมีนายหน้ามาซื้อที่ ที่แถวนี้เมื่อก่อนนี้ไร่ละ 700 บาท หลังๆก็ประมาณ 2,000 แล้วเขามาขายได้ 30,000 ถือว่าเยอะมาก ตอนหลังๆยิ่งได้กันเป็นแสน”เธอเล่าเสริมถึงเหตุที่ทำให้ชาวบ้านยอมทิ้งผืนนา เดิมที่มีแล้วตัดสินใจไปเริ่มชีวิตใหม่กันหมดในพื้นที่ที่ไกลออกไป “มันเหมือนเป็นความนิยมน่ะ พอเห็นคนอื่นมีก็อยากมี พอขายที่ได้แล้วมันจะมีรถมีบ้าน ซื้อเสื้อผ้าสวยๆใส่ อยากกินไรก็มีตังค์ซื้อกิน … แต่พอความที่ไม่เคยมี พอมีแล้วอยากใช้อะไรก็ใช้ไม่เป็น พอมีก็หมด บางคนได้ไปไม่ได้ไปทำกิน เอาไปซื้อ ไปเล่น ไม่ได้หาใหม่เพิ่ม คือตอนที่เขาเข้ามา เขาพูดด้านเดียว เขาไม่ได้พูดด้านเสีย … ต่อ ไปนี้พ่อแม่พี่น้องจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนะ อยู่บ้านเดียวกัน ทำงานก็ทำในพื้นที่ เช้าไปเย็นก็เจอกันแล้ว รายได้ก็ไม่ไปไหน บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อเพราะคนที่บ้านทำนา มันทำให้เราเชื่อ … จนตอนนี้แล้ว จะเอานาที่ไหนไปทำ” แน่ นอนว่าสิ้นสุดประโยคดังกล่าว คำถามที่ทุกคนต้องอยากรู้ต่อมาก็คือ แล้วเธอยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรท่ามกลางการยอมแพ้และถอยหนีของ เพื่อนบ้านจนหมด อะไรที่ทำให้เธอ ยังสามารถขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเก็บข้าวโพดบนสวนนาเดิมที่เคยมักคุ้น ที่ในวันนี้แทบจะเป็นบริเวณเดียวกันกับพื้นที่เหมืองไปแล้ว ก่อนจะกลับมาทำอาหารเย็นตั้งสำรับให้คนในครอบครัวเป็นประจำทุกๆเย็น ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเธอเองไม่รู้สึกกลัวสักนิดกับอำนาจมืดที่พร้อม จะสั่งเก็บได้ทุกเวลา ? “เมื่อก่อนก็สู้เองนะ แต่ก็ต้องทำมาหากิน … ความ ปลอดภัยตอนนี้ไม่มีหรอก เพราะเราไม่มีเพื่อนบ้าน เมื่อก่อนเนี่ยเราฝากเพื่อนบ้านได้ เดี๋ยวไปนู้นฝากบ้านนะ เขาก็ดูให้ เดี๋ยวนี้ไปฝากใครล่ะ ไม่มีใครแล้ว     ถามว่าปลอดภัยไหม ก็ไม่ปลอดภัยนะ เสียงอะไรแปลกๆก็กลัว … ตอน ที่ไปเดินหนังสือ แต่อาจจะไม่ใช่บริษัทนะ อาจจะเป็นคนที่เขามีผลประโยชน์เขาคงหมั่นไส้ว่าจะร้องอะไรนักหนา เขาก็จะมายิงปืนหน้าบ้านทำนองว่าขู่เรา บางทีมีรถผ่านหน้าบ้าน ให้ของลับแจกเรา … เราบอกไม่เอาหรอกที่เพิ่งผ่านมาก็มีตัดหัว หมามาทิ้งหน้าบ้าน เหมือนจะบอกว่าต่อไปคงเป็นหัวเราแล้วล่ะ”พี่สิริวรรณเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียง คล้ายชินชา และเข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น และ ในเมื่อไม่มีใครบอกได้ว่าเหตุการณ์เลวร้ายนี้จะจบลงเมื่อไร ซึ่งแม้แต่รัฐเองก็ยังไม่อาจใช้อำนาจหน้าที่ที่มีเข้าปราบปรามการรุกราน อย่างไร้ศีลธรรมของนายทุนเงินเติบนี้ได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่พอจะเป็นเกราะให้ “ตระกูลธีระชาติดำรง” นี้ได้ ก็คือ “สื่อ” นั่น จึงทำให้ในระยะเวลาต่อมา สื่อหลายสำนักต่างก็ให้ความสนใจกับกรณีนี้อย่างมาก ด้วยเจตนาที่ดีโดยหวังว่าจะสามารถให้แนวทางช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ และเพื่อประโคมข่าวทางตรงไปยังหน่วยงานราชการให้ออกมารับผิดชอบให้ได้ แต่ ก็อาจจะมีจำนวนมากซะจน “สื่อ” เองก็ลืมไปว่าได้ส่งผลให้ตัวชาวบ้านเองอยู่ไม่น้อย ในฐานะที่ต้องถูกจับตามองอย่างไม่คลาดสายตาจากคนอีกฝั่ง “สู้ตั้งแต่ปี 2544… ไม่ยอมทน เอ็นจีโอบอกว่าให้พยายามอยู่ในที่แจ้ง เผื่อเป็นอะไรไป คนเขาจะได้รู้… พอมีสื่อ ก็มีตำรวจมาช่วยดูแลความปลอดภัย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไปทำให้เขาสังเกตเรามาก เหมือนแบบมึงเก่งนักเหรอ?” อย่าง ไรก็ตาม เราเชื่อว่าพี่สุกัญญาคงไม่ได้มีเจตนาจะว่าร้ายสื่อแต่อย่างใด และเชื่อว่าย่อมเกิดผลดีอย่างมาก หากสื่อเองได้นำคำบอกเล่าดังกล่าวไปเป็นกรณีตัวอย่าง เพื่อกลับไปทบทวนบทบาทของสื่อพร้อมกับร่วมกันหาช่องทางการต่อสู้ไปกับเธอใน ครั้งใหม่ โดยปราศจากการข่มขู่ชั่วร้ายของนายทุน และ หากกรณีนี้จะสร้างบทเรียนให้กับสังคมไทยได้บ้าง เราอาจต้องกลับมาทบทวนกันอย่างจริงจังแล้วว่า สาเหตุที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการขาดจิตสำนึกอย่างสุดโต่งของบรรดานายทุน จนทำให้     “สิทธิชุมชน” และพื้นที่ที่เคยอุดมไปด้วยรากเหง้าต้องถูกรุกรานจนหมด นั่นก็คือ “ความอ่อนแอ” และ “ความไม่รู้เท่าทัน” ในสภาวการณ์ทุนนิยมของชาวบ้านนั่นเอง วีนัส อยู่ดี ทีมงานไทยเอ็นจีโอ รายงาน

Recent posts