เครือข่ายปชช.ลุ่มน้ำอีสาน ประกาศจุดยืนต้านโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ยกบทเรียนความล้มเหลว โขง ชี มูล ไม่คุ้มค่า
15 August 2013
1122
ชื่อชุมชนที่ได้รับผลกระทบ: โครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน, ทั่วประเทศ

วันที่ 14 ส.ค.56 เวลา 11.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 4 สถาบันวิจัยและพัฒนา (RDI) มหาวิทยาลัยขอนแก่น เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคอีสาน โดยนายสุวิทย์ กุหลาบ วงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนพัฒนาชนบท (กป.อพช.อีสาน) นำกลุ่มชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการจัดการน้ำภาคอีสาน ใน พื้นที่การสร้างเขื่อนและฝายกั้นน้ำในลุ่มน้ำโขง ชี มูล ร่วมกับนักวิชาการนิเวศวัฒนธรรม และกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวนกว่า 60 คน ตั้งโต๊ะแถลงข่าว “คัดค้านโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน บทเรียนจากความล้มเหลวและความไม่คุ้มค่าของโครงการโขง ชี มูล รัฐต้อง หยุด! การใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า ทำลายระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชนลุ่มน้ำ”
โดยนายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ เลขาธิการ กป.อพช.อีสาน กล่าวว่า จากบทเรียนการจัดการน้ำของรัฐในพื้นที่ภาคอีสาน ภายใต้โครงการโขง ชี มูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเขื่อนบนลำน้ำมูล ชี และลำน้ำสาขา ตลอดช่วง 24 ปีที่ผ่านมา ซึ่งรัฐเพิกเฉยที่จะให้ความสำคัญกับกระบวนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสังคมและชุมชน ไม่มีกระบวนการมีส่วนร่วมจากชุมชนท้องถิ่นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นโครงการที่เพ้อฝันของนักการเมือง แล้วทุ่มงบประมาณลงไปอย่างมหาศาล ได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้วว่า การจัดการน้ำขนาดใหญ่แบบรวมศูนย์ที่มีแผนแม่บทมาแล้ว และการออกแบบก่อสร้างไม่คำนึงถึงความสอดคล้องเหมาะสมกับภูมินิเวศท้องถิ่น แต่ละแห่ง ได้ทำลายลุ่มน้ำอีสาน
“ในนามเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำภาคอีสาน ขอแสดงจุดยืนให้รัฐบาลและสังคมเห็นว่าพวกเราไม่เห็นด้วยกับโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านที่จะทำลาย ระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชนลุ่มน้ำ โดยจะร่วมกันติดตาม และเดินหน้าล่ารายชื่อประชาชน 3.5 แสนคนคัดค้านอีกด้วย”
นายนิมิต หาระพันธ์ กลุ่ม ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนร้อยเอ็ด เขื่อนยโสธร-พนมไพร และเขื่อนธาตุน้อย กล่าว่า ชาวบ้านในพื้นที่ต้องทนทุกข์ได้รับความเดือดร้อนจากการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำ ชี มาเป็นเวลา 20-30 ปี จากการที่รัฐบาลในสมัยนั้นโกหกกับชาวบ้านว่าจะทำเป็นฝายยางกั้นแม่น้ำ และบอกว่าจะเอาน้ำมาให้ ในขณะที่ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลยว่าจะเอาหรือไม่เอาโครงการ
“กระบวนการมีส่วนร่วมของชาวบ้านก็แค่เข้าไปเป็นตัวประกอบเพราะโครงการได้ถูกกำหนดมาจากข้างบนแล้ว ทั้ง ที่ปัญหาเก่ายังไม่ได้รับรับการแก้ไขปัญหาใหม่ก็ยังจะเข้ามาทับถมอีก สิ่งที่รัฐบาลเยียวยามามันก็ไม่คุ้มกับวิถีชีวิตและแหล่งทำมาหากินที่ชาว บ้านสูญเสียไป ซึ่งจะใช้อีกสักกี่แสนล้านมันก็ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาได้”
ด้านนายสันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ นักวิชาการนิเวศวัฒนธรรม จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าวว่า จากเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคทรินา พัดถล่มในสหรัฐอเมริกา แล้วเกิดอุทกภัยน้ำท่วมหนักในหลายเมือง ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ จึงทำให้อเมริกาหันมาทบทวนเกี่ยวกับวิศวกรรมการสร้างเขื่อนว่าไม่มีความ เหมาะสมกับการจัดการน้ำ ท้ายที่สุดจึงนำมาซึ่งการทุบเขื่อนออก แล้วบทเรียนที่ไม่คุ้มค่าและล้มเหลวแบบนี้ประเทศไทยยังจะนำมาใช้ในบ้านเรา อีกหรือ
“รัฐบาล ควรสนับสนุนรูปแบบการจัดการน้ำที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพพื้นที่อันหลาก หลายในแต่ละภูมินิเวศของพื้นถิ่น ให้ความสำคัญกับสมดุลของระบบนิเวศลุ่มน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งเสริมให้ภาคีต่างๆ ในลุ่มน้ำได้มีส่วนสำคัญร่วมกันในการกำหนดรูปแบบเพื่อให้เกิดการแบ่งปันการ ใช้น้ำอย่างเหมาะสม และการเข้าถึงทรัพยากรน้ำอย่างเป็นธรรม”
/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/
นายเดชา คำเบ้าเมือง ศูนย์สื่อชุมชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ศสธ.)
ตู้ปณ. 14 อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000
โทรศัพท์ : 081-3696266
อีเมล์ :
decha_61@yahoo.com ;
huktin.ud@gmail.com